สวัสดี

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Admin

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 73
31
รู้ก่อนสร้าง ต่อเติมบ้านอย่างไรไม่ผิดกฎหมาย

5 เรื่องต้องมีเมื่อต่อเติมบ้าน
 
1. มีใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
สำหรับการต่อเติมบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้าน 1 ชั้น 2 ชั้น หรือมากกว่านั้น หากดำเนินการในข้อต่างๆ ดังนี้ จะต้องมีใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน

• การต่อเติมบ้านที่มีพื้นที่ครอบคลุมเกิน 5 เมตร
• การลด-เพิ่ม จำนวนเสา หรือคาน
• การต่อเติมที่มีความเปลี่ยนแปลงของวัสดุ ขนาด ที่แตกต่างไปจากของเดิม
• การต่อเติมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักบ้านที่เพิ่มมากขึ้นจากการคำนวนฐานรับน้ำหนัก

2. มีสถาปนิกและวิศวกรควบคุมการดำเนินการต่อเติม
การขออนุญาตต่อเติมบ้านที่ต้องยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าพนักงานท้องถิ่นนั้น ต้องมีรายละเอียดของแบบแปลนที่จะใช้ในการต่อเติมที่ได้รับการรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบ รวมถึงวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้าง

หากเป็นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพื้น หลังคา เสา จะต้องมีการคำนวนเรื่องการรับน้ำหนักของฐานจากสถาปนิกหรือวิศวกรที่รับหน้าที่ก่อสร้างด้วย

3. มีระยะร่นและการเว้นที่ว่างถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนของระยะร่นที่เจ้าของบ้านควรรู้ไว้นั้นจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนของการก่อสร้างหรือต่อเติมก็ตาม โดยระยะร่นที่ควรมีเป็นดังนี้คือ

• ระยะร่นระหว่างตัวอาคารกับจุดกึ่งกลางถนนต้องมีอย่างน้อย 3 เมตร
• เว้นที่ว่างระหว่างตัวอาคารกับเขตที่ดินด้านหน้าอย่างน้อย 3 เมตร ส่วนที่ว่างด้านหลัง และด้านข้างต้องเว้นไว้อย่างน้อย 2 เมตร
• มีขอบเขตของตัวบ้านไม่เกิน 70% ของที่ดิน ซึ่งจะนับจากชั้นที่มีพื้นที่กว้างสุด
• บ้านที่มีจำนวนชั้น 1 ชั้น หรือมีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ควรเว้นระยะห่างของช่องเปิด (หน้าต่าง ช่องลม ช่องแสง) ห่างจากแนวของเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 2 เมตร แต่ถ้าเป็นผนังทึบต้องเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร

4. มีความยินยอมจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง
การต่อเติมบ้านควรดำเนินการไปอย่างไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนบ้านใกล้เคียง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลกระทบบ้าง เช่น เสียงดัง กลิ่น หรือฝุ่น

ดังนั้นก่อนดำเนินการต่อเติมบ้านเจ้าของบ้านควรพูดคุยขอความยินยอมพร้อมแจ้งวันเวลาให้เพื่อนบ้านรับรู้ไว้ก่อน โดยเฉพาะการต่อเติมผนังทึบที่ชิดรั้วบ้านด้านข้างจะต้องมีหนังสือยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งภายหลัง

กฎหมายต่อเติมบ้านที่ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร และไม่ต้องขออนุญาต
• การเปลี่ยนโครงสร้างของบ้านโดยใช้วัสดุที่มีขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม
• การเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆ ของบ้าน ที่ไม่ถือเป็นโครงสร้างและเพิ่มน้ำหนักให้โครงสร้างไม่เกิน 10% เช่น ผนัง พื้น
• การเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของอาคาร โดยมีขนาดและรูปทรงที่เพิ่มน้ำหนักไม่เกิน 10% เช่น ประตู หน้าต่าง ฝ้าเพดาน
• การเพิ่มหรือลดพื้นที่รวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และต้องไม่ใช่การลดหรือเพิ่มเสา หรือคาน เช่น การเพิ่มพื้นเฉลียงชั้นล่าง
• การเพิ่มหรือลดพื้นที่ส่วนของหลังคา โดยมีขนาดมากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และต้องไม่ใช้การลดหรือเพิ่มเสา คาน

การดำเนินการต่อเติมบ้านโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายกำหนดถือเป็นความผิดที่เจ้าของบ้านต้องรับผิดชอบดังนี้

• การต่อเติมบ้านในเรื่องที่เป็นข้อบังคับแต่ไม่มีการขออนุญาต เจ้าของบ้านจะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

• หากเจ้าของบ้านถูกร้องเรียน และสืบพบว่ามีการต่อเติมบ้านผิดกฎหมาย จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 30,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

ติดต่อสอบถาม   



32
เทคนิคและข้อกฏหมายการ ต่อเติมบ้าน ที่ควรรู้ ประหยัดเงินได้เป็นแสน!

1.มาดูกันว่ามีสิ่งใดบ้างที่เราควรจะทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดปัญหาใน การต่อเติมบ้าน น้อยที่สุด…
กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง หรือ พรบ.ควบคุมอาคาร
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร กำหนดให้การก่อสร้าง/ต่อเติมต้องมีระยะห่างระหว่างอาคาร เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและป้องกันการรบกวนบุคคลในพื้นที่ข้างเคียง สรุปพรบ.ง่ายๆ ดังนี้

1.1 ระยะห่างระหว่างอาคารที่ก่อสร้าง / ต่อเติมบ้าน
อาคารชั้นเดียว จนถึงอาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร เช่น ต่อเติมบ้าน พื้นที่หลังบ้าน เป็นห้องครัว ห้องซักล้าง ระเบียงชั้น 2 ระยะห่างผนัง ถ้ามีช่องเปิด (ช่องเปิด หมายถึง หน้าต่าง ช่องลม ช่องที่สามารถส่องผ่านได้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ช่องแสง บล็อกแก้ว)ต้องเว้นระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียง ไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร

ถ้าเป็นผนังทึบ (ไม่มีผนังช่องเปิด)ต้องเว้นระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียง ไม่น้อยกว่า 0.50 เมตร*ยกเว้น การได้รับความยินยอมจากเจ้าของพื้นที่ข้างเคียง เป็นลายลักษณ์อักษร (มีหนังสือยินยอม) สามารถสร้างชิดเขตแนวที่ดินได้

ระยะห่างชายคา/กันสาด(พื้นที่ที่คนขึ้นไปใช้งานหลักไม่ได้)เช่นเดียวกับผนังทึบ ชายคาต้องห่างจากแนวเขตไม่น้อยกว่า 0.5 ม.

1.2 งวดเงิน /งวดงาน ว่าจ้างผู้รับจ้าง
สัญญาว่าจ้างก่อสร้าง ต่อเติมบ้าน ที่ดีนั้น เอกสารต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันของทั้งผู้รับจ้าง และเจ้าของบ้าน เพื่อเป็นการกำหนดการจ่ายเงินเป็นงวดๆ โดยต้องแบ่งงวดเงินที่จะจ่าย ให้สอดคล้องกับงวดงานที่แล้วเสร็จ

ตัวอย่างงวดงาน งวดงานที่ 1 เคลียร์พื้นที่ ตอกเสาเข็ม แล้วเสร็จ 100%งวดงานที่ 2 ทำฐานรากแล้วเสร็จทุกต้น (100%) ทำตอม่อแล้วเสร็จ 50%งวดสุดท้าย ผู้รับจ้างจะต้องเก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดหน้าพื้นที่ทำงาน หรือเศษวัสดุออกนอกพื้นที่ทำงาน จนกว่าพื้นที่จะพร้อมต่อการส่งมอบงานได้

ตัวอย่าง งวดเงินเงินงวดที่ 0  *มัดจำก่อนเริ่มงานหลังจากทำสัญญางวดนี้ เพื่อการทำงานที่ราบรื่นงานผู้รับเหมา 20% ของราคาค่าก่อสร้างทั้งหมด เมื่อผู้รับจ้างทำสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรเงินงวดที่ 1  20% ของราคาค่าก่อสร้างทั้งหมด เมื่อผู้รับจ้างทำงานงวดที่ 1 แล้วเสร็จเงินงวดที่ …. (สุดท้าย) 20% ของราคาค่าก่อสร้างทั้งหมด เมื่อผู้รับจ้างทำงานงวดที่ (สุดท้าย) แล้วเสร็จ

1.3 เทคนิคการก่อสร้าง
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “บ้านทุกหลัง หรือทุกอาคารมีการทรุดตัว” ไม่ว่าจะตอก เจาะ เสาเข็มหรือไม่ ก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าจะมาก หรือน้อย แตกต่างกันเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็ต้องเข้าใจว่า “การต่อเติมบ้าน” โครงสร้างใหม่ เข้าไปกับโครงสร้างบ้านเดิม ย่อมมีการ “แยก” ออกจากกัน โดยเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากโครงสร้างบ้านเดิม อยู่บนเสาเข็มที่ตอกไปแล้ว อาจมีการทรุดบ้าง แต่น้อย เช่น 1 เซนติเมตรต่อ 2 ปีแต่ส่วนต่อเติมบ้าน เช่น ครัวหลังบ้าน ไม่ได้ตอกเข็ม ทรุดลงปีละ 3 เซนติเมตร ทำให้เกิดรอยแตกร้าว เป็นต้นสิ่งที่เราพอจะทำได้คือ ป้องกัน/แก้ไข ไม่ให้รอยร้าวนั้น น่าเกลียด ตกแต่งเพื่อความสวยงาม

จุดที่การต่อเติมบ้านที่มักจะเกิดปัญหา ทรุดตัว การแยกตัว แตกร้าวได้แก่ รอยผนังแยกตัวออกจากอาคาร  รอยรั่วจากรอยต่อหลังคา และรอยร้าวตรงมุมประตูและหน้าต่าง

การป้องกันรอยแตกร้าวการ ต่อเติมบ้าน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนอกจากการออกแบบพื้นที่ คือ ปัญหารอบแตกร้าวต่างๆ นานา จากการ ต่อเติมบ้าน ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ มีทั้งป้องกันได้ และป้องกันยาก ซึ่งส่วนที่ควรระวัง เน้นย้ำช่าง หรือผู้รับเหมา คือ1. ระหว่างผนังส่วน ต่อเติมบ้านกับผนังบ้านเดิม ส่วนนี้ แยก หรือร้าวแน่นอน ถ้าไม่มีการตอกเสาเข็ม อาจจะเห็นผลในเดือนสองเดือนแรก หลังต่อเติม เนื่องจาก ผนังส่วนนี้ “ทรุดตัว” มากกว่า ผนังของอาคารเดิมวิธีการยืดระยะเวลาการเกิดปัญหานี้ ด้วยการ ตอกเสาเข็มให้พื้น ทรุดตัวน้อย (พอๆกับตัวบ้าน) เป็นการยืดระยะเวลาในการร้าว ได้วิธีการที่ไม่อยากปวดหัวกับรอยนี้ คือการ แยกวัสดุประสานแบบแข็ง (ผนังฉาบ) ออกจากตัวอาคารเดิม รวมถึง ไม่ให้วัสดุแข็ง เช่นกระเบื้อง ปูคร่อมรอยต่อต่างๆ แล้วอุดรอยต่อนี้ด้วย วัสดุยืดหยุ่น เช่น โพลียูรีเทน เพื่อไม่ให้น้ำรั่วซืมเข้าสู่ตัวอาคาร

2.รอยต่อหลังคากับอาคารเดิมเพื่อให้มีความยืดหยุ่น
เมื่อส่วนต่อเติมเกิดการทุรด รอยต่อระหว่างอาคารเก่าจึงสำคัญ แนะนำให้ใช้ Flashing เป็นตัวเชื่อมระหว่างหลังคากับอาคารเดิม

2.1 กรีดร่องผนังฉาบ (อาคารเดิม) ให้เป็นร่อง ตลอดแนวหลังคา
2.2 ติดตั้ง แผ่น Flashing
2.3 อุดร่องผนัง และร่องระหว่างหลังคาด้วย โพลี ยูรีเทนเมื่อส่วน ต่อเติมบ้าน เกิดการทรุด จะทำให้ไม่เกิดช่องว่างที่น้ำหรือฝนสาดเข้าตัวอาคาร


ติดต่อสอบถาม   



33
ทำความรู้จักโครงสร้างภายในบ้าน
นอกจากโครงการต่างๆที่อยู่ภายนอกบ้านแล้ว โครงสร้างในบ้านก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งการต่อเติมในบ้านส่วนใหญ่จะเป็นการกั้นผนัง ซึ่งถ้าเราไม่รู้แลยว่าผนังบ้านเราทำจากอะไรแล้วเกิดไปเจาะ ทุบ ในส่วนที่เป็นโครงสร้างหลักก็อาจจะทำให้บ้านเราเสียหายได้ โดยโครงสร้างภายในบ้านที่เราต้องดูมีดังนี้

ผนังภายในบ้าน
การต่อเติมเพิ่มห้องหรือลดจำนวนห้องภายในบ้านนั้นจำเป็นจะต้องทราบโครงสร้างของผนังภายในบ้าน เนื่องจากผนังบางชนิดสามารถต่อเติมได้ไม่มีปัญหา แต่บางชนิดไม่สามารถทุบหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยส่วนใหญ่แล้วในบ้านจัดสรรมักมีโครงสร้างผนังภายใน ดังนี้

ผนังก่ออิฐฉาบปูน
ผนังก่ออิฐ คือ การนำอิฐมาประสานต่อกันโดยมีปูนก่อเป็นตัวเชื่อมนั่นเองค่ะ เมื่อก่อเสร็จแล้วจะมีการฉาบปูนให้ผนังมีนั้นเรียบสวยงาม ซึ่งต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญ ผนังก่ออิฐมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น อิฐมอญ, อิฐมวลเบา, อิฐขาว, ซีเมนต์บล็อก หรืออิฐประสาน และวิธีการก่อสร้างมีทั้งก่อแบบเต็มแผ่นและก่อแบบครึ่งแผ่น

ผนังก่ออิฐนั้นมีน้ำหนักมาก ประมาณ 60-180 กิโลกรัม/ตารางเมตร (ขึ้นอยู่กับชนิดของอิฐ) ทำให้ต้องก่อผนังตามแนวคานเท่านั้น แต่เป็นผนังที่มีความแข็งแรงใช้งานได้ทั้งภายใน, ภายนอก รวมถึงพื้นที่ที่มีน้ำขังด้วย สามารถตกแต่งพื้นผิวได้หลายรูปแบบ และสามารถเจาะช่องเปิดได้ค่ะ ทำให้บ้านที่มีโครงสร้างแบบก่ออิฐมีอิสระในการเลือกตกแต่ง, เจาะแขวน, ต่อเติม ได้มากกว่าแบบอื่นๆ

ผนังสำเร็จรูป ( Precast )
ในปัจจุบันโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมนั้นนิยมใช้การก่อสร้างแบบ Precast กันมากเลยนะคะ  Precast นั้นเป็นระบบการก่อสร้างชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปมาจากโรงงาน  ทำให้ควบคุมคุณภาพได้ง่าย ไม่ต้องมากังวลว่าช่างมีฝีมือไหม  ชิ้นส่วนต่างๆมีสัดส่วน และช่องเปิด รวมถึงท่องานระบบที่คำนวณมาให้เหมาะกับการใช้งานเรียบร้อยแล้ว และสามารถก่อสร้างได้รวดเร็ว เหมือนกับตัวต่อเลโก้ ที่ขนส่งมาเป็นชิ้นๆและประกอบกันได้เลยที่หน้างานค่ะ

โดยส่วนใหญ่แล้วผนังของโครงสร้างแบบ Precast มักเป็นผนังรับน้ำหนักที่ทำหน้าที่เป็นทั้งโครงสร้างและผนัง ทำให้มีความแข็งแรง รับแรงด้านข้างได้มากกว่าระบบก่อ แต่ก็ทำให้มีข้อจำกัดด้านการเจาะช่องเปิด และไม่สามารถทุบผนังบางส่วนทิ้งได้ เนื่องจากผนังทำหน้าที่เป็นโครงสร้างด้วยนั่นเองค่ะ ทำให้ไม่เหมาะกับการต่อเติมหรือดัดแปลง

เมื่อเราทราบโครงสร้างเดิมของบ้านแล้วก็มาถึงขั้นตอนในการต่อเติมค่ะ สำหรับการต่อเติมแนะนำว่าให้ทำการคุยขอบเขตกับผู้รับเหมาหรือผู้ออกแบบให้เรียบร้อยก่อน เพื่อป้องกันการทำงานไปเรื่อยๆไม่มีแผนงานซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายได้

ติดต่อสอบถาม   



34
ทำความรู้จักโครงสร้างภายนอกบ้าน
การต่อเติมพื้นที่ด้านนอกบ้านส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่เราควรคำนึงถึงก็คือโครงสร้างพื้นและเสาเข็มค่ะ โดยปกติแล้วบ้านจัดสรรมักจะทำการเทพื้นบริเวณที่จอดรถและลานซักล้างด้านหลังบ้านมาให้ ส่วนใหญ่เป็นการเทคอนกรีตเสริมเหล็กแบบบนดิน (Slab On Ground) หรือ บนคาน (Slab on Beam) ที่ลงเสาเข็มมาให้ด้วย ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีข้อดี–ข้อเสียแตกต่างกันไป

พื้นคอนกรีตวางบนดิน (Slab On Ground)
Slab On Ground  เป็นพื้นคอนกรีตหล่อบนพื้นดินหรือทรายบดอัด ไม่มีคานรองรับ มักใช้สำหรับพื้นชั้นล่าง ส่วนใหญ่มักใช้ทำพื้นของที่จอดรถ การถ่ายน้ำหนักของพื้นประเภทนี้จะถ่ายลงสู่พื้นดินโดยตรงโดยกระกระจายแรง ดังนั้นการบดอัดดินหรือทรายให้แน่นเป็นสิ่งสำคัญมาก หากไม่ทำให้ดินแน่นก่อนคอนกรีตอาจแตกจากการทรุดตัวได้ พื้นคอนกรีตวางบนดินนี้ ต้องอยู่อย่างอิสระจากโครงสร้างส่วนอื่น ๆ เพราะมีอัตราการทรุดตัวตามดินที่สูงค่ะ หากจำเป็นต้องมีส่วนที่ติดกันควรจะแยกรอยต่อ  โดยการคั่นด้วยแผ่นโฟม หรือออกแบบลดระดับพื้นบริเวณขอบพื้นโดยรอบ หรือจะวางหินกรวดตกแต่งอย่างที่บ้านจัดสรรนิยมทำให้เพื่อปกปิดรอยต่อก็ได้เช่นกันค่ะ

โดยโครงสร้างส่วนใหญ่ของลานจอดรถนั้นเป็นระบบคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) เป็นการเพิ่มความสามารถของคอนกรีตให้รับแรงได้มากขึ้นโดยใช้เหล็กเข้ามาช่วยนั่นเองค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กจะสามารถรับน้ำหนักได้ 200 – 400 กิโลกรัมต่อตารางเมตร  สำหรับลานจอดรถขนาดมาตรฐาน 1 คันนั้น จะมีขนาด 2.40 x 5.00 เมตร หรือประมาณ 12 ตารางเมตร รถเก๋ง 1 คัน จะมีน้ำหนักประมาณ 1,000 – 1,500 กิโลกรัม ต่อคัน , รถกระบะ 1 คัน น้ำหนักประมาณ 1,500 – 1,600 กิโลกรัม ต่อคัน ซึ่งเพียงพอต่อการใช้พื้นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กวางบนดิน

พื้นคอนกรีตวางบนคาน (Slab On Beam)
เป็นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กที่ถ่ายน้ำหนักลงสู่คานโดยตรง นิยมใช้ในบ้านและอาคารทั่วไป ลักษณะการถ่ายน้ำหนักของพื้นประเภทนี้มี 2 แบบนะคะ คือ

– พื้นทางเดียว (One Way Slab)
– พื้นสองทาง (Two Way Slab)

พื้นคอนกรีตวางบนคานอาจเป็นได้ทั้งพื้นคอนกรีตหล่อในที่หรือพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปก็ได้ค่ะ แต่สำหรับพื้นส่วนเปียกอย่างเช่น ห้องน้ำ พื้นระเบียงนอกบ้าน ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วซึม ควรใช้เป็นพื้นคอนกรีตหล่อในที่จะสามารถทนต่อความชื่นได้มากกว่าพื้นสำเร็จรูปค่ะ

โครงสร้างเสาเข็ม ( Pile )
ต่อมาสิ่งที่สำคัญสำหรับการต่อเติมบ้านก็คือเสาเข็ม โดยเสาเข็มเป็นโครงสร้างที่เสริมการรับน้ำหนักและป้องกันการทรุดตัว โดยมีหลักการคือช่วยเพิ่มแรงต้านน้ำหนักของตัวบ้านหรือพื้นที่ส่วนต่อเติม ไม่ให้ทรุดตัวลง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบและความลึกของเสาเข็มด้วยค่ะ ถ้าเสาเข็มนั้นสั้นไม่ถึงชั้นดินแข็งจะมีเพียงแรงเสียดทานระหว่างพื้นผิวเสาเข็มกับดิน (Skin Friction)  แต่ถ้าเสาเข็มนั้นลึกถึงชั้นดินแข็งก็จะมีแรงต้านที่ปลายเสาเข็ม (End Bearing) เพิ่มขึ้นค่ะ และอีกอย่างที่ควรคำนึงถึงนั่นก็คือความแข็งของชั้นดินในแต่ละพื้นที่ ถ้าบ้านใครมีที่ดินอยู่ใกล้กับน้ำ หรือดินพึ่งถมมาไม่นาน(ไม่เกิน 2 ปี) ดินจะไม่แน่นมากทำให้มีโอกาสทรุดตัวมากกว่า จึงจำเป็นต้องใช้เสาเข็มที่ลึกขึ้นค่ะ ดังนั้นเบื้องต้นเราจึงควรรู้ว่าบ้านของเราใช้เสาเข็มอะไร ถ้าเราซื้อบ้านจากโครงการแนะนำว่าให้ถามก่อนซื้อหรือตัดสินใจต่อเติม ถ้าเป็นบ้านที่สร้างเองก็ควรถามวิศวกรหรือผู้ออกแบบเอาไว้ เราจะได้มีข้อมูลสำหรับการต่อเติมในอนาคต

เสาเข็มเดิมของภายในบ้านทั่วไปที่นิยมใช้ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้

เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง (prestressed concrete pile)

เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงเป็นที่นิยมมากที่สุดในอาคารพักอาศัย เป็นเสาคอนกรีตที่ทำจากปูนซีเมนต์ชนิดแข็งตัวเร็วและโครงเหล็กภายในทำจากลวดเหล็กอัดแรงกำลังสูงค่ะ ใช้วิธีการตอกลงไปในดิน ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากและราคาไม่แพง  “แต่เวลาตอกจะเกิดแรงสั่นสะเทือน” แบ่งย่อยออกตามลักษณะรูปทรงหลากหลาย เช่น

เสาเข็มรูปตัวไอ (มักใช้เป็นโครงสร้างรับน้ำหนักตัวบ้าน)
เสาเข็มสี่เหลี่ยมตัน
เสาเข็มหกเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยมชนิดกลวง
เสาเข็มรูปตัวที
เสาเข็มเจาะ (bored pile)

เสาเข็มเจาะนั้นต้องใช้เครื่องมือเจาะลงบนที่ดินบนพื้นที่ใช้งานเลย จากนั้นจึงใส่เหล็กและเทคอนกรีตลงไปเพื่อหล่อเป็นเสาเข็ม จะมีกรรมวิธีก่อสร้างที่ยุ่งยาก และใช้เวลามากกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการรับน้ำหนักสูง “แต่จะไม่เกิดแรงสั่นสะเทือนเวลาติดตั้ง” และมีข้อจำกัดเรื่องขนาดกับความลึกน้อยกว่า รับน้ำหนักได้มากกว่า ส่วนราคานั้นจะแพงและมีขั้นตอนการติดตั้งยากกว่า


ติดต่อสอบถาม   



35
ต่อเติมอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย
กฎหมายเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่ควรจะมองข้ามในการต่อเติมบ้าน หากเราทำการต่อเติมไปแล้วผิดกฎหมายก็จะเดือดร้อนต้องมาทุบทิ้งกัน หรืออาจจะเกิดการร้องเรียนขึ้นทำให้เป็นปัญหาใหญ่ตามมา ทำให้เราเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับการต่อเติมบ้านนั้นหลักๆแล้วก็จะมีเรื่องระยะต่างๆรอบตัวบ้าน

ระยะห่างระหว่างอาคาร
การต่อเติมอาคารชั้นเดียว หรืออาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร เช่นการต่อเติมพื้นที่ครัวด้านหลังบ้าน , ต่อเติมห้องด้านข้างรวมถึงลานจอดรถนั้น จะมีข้อกำหนดเรื่องระยะห่างของผนังและที่ดินบ้านข้างเคียง ดังนี้

- ผนังที่มีช่องเปิด ( เช่น หน้าต่าง, ช่องลมระบายอากาศ, ช่องแสง หรือบล็อคแก้ว) ควรมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร
- ผนังทึบ (ไม่มีช่องแสง) ควรมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร

สำหรับหมู่บ้านจัดสรรโดยทั่วไปแล้ว เราสามารถเจรจากับเพื่อนบ้านด้านข้างฝั่งที่เราต่อเติม ถ้าเพื่อนบ้านยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร เราก็สามารถสร้างชิดแนวเขตที่ดินได้ค่ะ

ระยะชายคา, กันสาด
การต่อเติมชายคา (ที่พื้นที่ด้านบนไม่สามารถขึ้นไปใช้งานได้) จะต้องเว้นระยะจากชายคา จนถึงแนวเขตที่ดิน ไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร เช่นเดียวกันกับการต่อเติมผนังทึบค่ะ

ระยะระเบียงชั้นบน
การต่อเติมระเบียงชั้นบน หรือหลังคาที่สามารถขึ้นไปใช้งานด้านบนได้ จะต้องเว้นระยะจากระเบียง จนถึงแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร เช่นเดียวกับการต่อเติมผนังที่มีช่องเปิดค่ะ

ระยะห่างจากถนนสาธารณะ
สำหรับใครที่อยากจะต่อเติมบ้านออกมาทางด้านหน้าจะเป็นห้องอเนกประสงค์หรือห้องอื่นๆก็ดี จะต้องคำนึงถึงกฎหมายดังนี้ อาคารพักอาศัยที่สูงไม่เกิน 3 ชั้น หรือสูงไม่เกิน 10 เมตร และพื้นที่รวมไม่เกิน 1,000 ตารางเมตร จะมีกฏหมายบังคับเกี่ยวกับแนวร่นอาคารจาก ทางสาธารณะ ดังนี้

- ถ้าถนนสาธารณะกว้างน้อยกว่า 6.00 เมตร ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลาง ถนนสาธารณะ อย่างน้อย 3.00 เมตร
- ถ้าถนนสาธารณะกว้างมากกว่าง 6.00 เมตร ริมแนวอาคารห่างจากถนนสาธารณะ
- อาคารสูงไม่เกิน 3 ชั้น, พื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร ร่นจากเขตถนนอย่างน้อย 0.50 เมตร
- อาคารสูงไม่เกิน 3 ชั้น, พื้นที่เกิน 300 ตารางเมตร ร่นจากเขตถนนอย่างน้อย 1.00 เมตร


ติดต่อสอบถาม   



36
​​​​​​​​​​​ต่อเติมบ้านอย่างไรให้ถูกต้อง ถูกเงิน และถูกใจ ​

การต่อเติมบ้าน ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่ บ้านเก่า หรือบ้านในโครงการจัดสรร ถือว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไป เนื่องจากเจ้าของบ้านมีความต้องการที่จะปรับปรุงหรือเพิ่มพื้นที่ใช้สอย เพื่อรองรับกับความต้องการของสมาชิกในครอบครัว การต่อเติมที่นิยมทำกันมาก เช่น ต่อเติมครัวไทย เพื่อแยกโซนประกอบอาหารอย่างชัดเจน ต่อเติมโรงรถ เพื่อกันแดดกันฝน และช่วยถนอมสีรถยนต์ หรือการต่อเติมห้องสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนมากจะต่อเติมชั้นล่าง เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุภายในบ้าน

ต่อเติมบ้านให้ถูกต้อง​

          ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องของการออกแบบบ้าน หรือการหาผู้รับเหมา ควรพิจารณาก่อนว่าการ “ต่อเติมบ้านให้ถูกต้อง” ต้องทำอย่างไร คำว่า ต่อเติมบ้าน เป็นคำพูดที่นิยมเรียกกันจนติดปาก แต่ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร จะใช้คำว่า "ดัดแปลง" จะให้ความหมายกว้างกว่าต่​​​อเติม และหากการต่อเติมเข้าหลักเกณฑ์ของคำว่า "ดัดแปลง" ตาม พ.ร.บ. นี้คือ "การเปลี่ยนแปลงต่อเติม เพิ่ม ลด หรือขยาย ซึ่งลักษณะขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก เนื้อที่ของโครงสร้างอาคารหรือส่วนต่างๆ ของอาคาร ที่ได้ก่อสร้างไว้แล้วให้ผิดไปจากเดิม" เช่น การต่อเติมครัวด้านหลังบ้าน ถือว่าเป็นการดัดแปลงตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร แต่ต่อเติมบางเรื่องเป็นเรื่องของการซ่อมแซม หรือเป็นเรื่องเล็กน้อย กฎหมายก็อนุโลมว่า ไม่ต้องขออนุญาต หรือแจ้งเจ้าพนักงาน เรื่องที่เป็นข้อยกเว้นที่สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2528) มีดังนี้
​         
           -​​การขยาย (หรือลด) เนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่งรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่ม (หรือลด) จำนวนเสาหรือคาน
           - การขยาย (หรือลด) เนื้อที่ของหลังคาให้มีเนื้อที่มากขึ้นรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่ม (หรือลด) จำนวนเสาหรือคาน
           ​- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร เช่น เสา คาน ฐานราก และโครงสร้างนั้นไม่ใช่คอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นใช้วัสดุ ขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม ดังนั้น ถ้าโครงสร้างอาคารที่เราเปลี่ยนเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตอัดแรง หรือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เราจะต้องขอ หรือแจ้งเจ้าพนักงานเสมอ แม้ขนาด จำนวน วัสดุ หรือชนิดเสา หรือคานที่เป็นโครงสร้างนั้นจะเหมือนเดิมทุกอย่างก็ตาม
           - การเปลี่ยนส่วนใดๆ ก็ตามในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร (เช่น ประตู ฝ้าเพดาน พื้น ผนัง) โดยใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิม หรือวัสดุชนิดอื่นซึ่งไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมเกิน 10% ของน้ำหนักเดิม
           - การเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด หรือขยายซึ่งลักษณะ ขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก หรือเนื้อที่ส่วนใดๆ ก็ตามในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร เช่น ประตู ฝ้าเพดาน พื้น ผนัง และการดำเนินการพวกนี้ไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10% ของโครงสร้างอาคารเดิม

          หากศึกษาไม่ดีอาจทำผิดกฎหมายได้ และอาจได้รับโทษเพิ่มอีก เพราะตามกฎหมายกำหนดว่าการดัดแปลงอาคารโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

     ​     นอกจากนี้ ยังมีหลักเกณฑ์เรื่องระยะถอยร่น หรือระยะห่างระหว่างอาคารกับที่ด้านข้าง หรือถนนอีกด้วย ซึ่งจะดัดแปลงให้ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์พวกนี้ไม่ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตในการดัดแปลงหรือไม่ก็ตาม (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 พ.ศ. 2543)

          อย่าลืมบอกกล่าวเพื่อนบ้านให้ทราบด้วย เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะบางบ้านมีผู้สูงอายุหรือเด็กอ่อน พักอยู่ ซึ่งการต่อเติมบ้านนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีเรื่องของเสียงดัง หรือกลิ่นจากพวกสี หรือทินเนอร์ เป็นต้น ทำให้เพื่อนบ้านได้รับผลกระทบ บางกรณีต้องทำเป็นหนังสือให้เพื่อนบ้านเซ็นรับทราบเรื่องการต่อเติมบ้านด้วย ทั้งนี้ เวลาในการทำงานของผู้รับเหมาที่เหมาะสม และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านจนเกินไป คือ วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 08.00 น. – 18.00 น. และวันเสาร์ เวลา 09.00 น. – 17.00 น. ส่วนวันอาทิตย์ หยุดพัก 1 วัน


ติดต่อสอบถาม   



37
ต่อเติมบ้านอย่างไรดี ? ไม่ให้มีปัญหาตามมา

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินข่าวความเสียหายจากการต่อเติมบ้านกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านทรุด , การแตกร้าว หรือ น้ำรั่วซึม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ของการอยู่อาศัยเลยทีเดียวใช่มั้ยคะ สำหรับใครที่กำลังจะต่อเติมบ้านแล้วคิดว่าต่อเติมนิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นอะไรมากนั้น วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับข้อควรระวังต่างๆในการต่อเติม รวมถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายและโครงสร้าง เพื่อให้บ้านของเราเมื่อต่อเติมไปแล้วนั้นไม่มีปัญหาบานปลายค่ะ

การต่อเติมบ้านนั้นถือเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับตัวบ้าน เมื่อเราอยู่ไปซักระยะนึง เราอาจจะอยากปรับเปลี่ยนหรืออยากได้พื้นที่มากขึ้น รวมถึงการขยายครอบครัวด้วยนะคะ หลายๆคนก็ลองทำแบบงูๆปลาๆจ้างช่างมาต่อเติมเลย หรือบางครอบครัวก็ค่อยๆต่อเติมไปเรื่อยๆโดยไม่คำนึงถึงโครงสร้าง จากสิ่งที่เรากล่าวมา อาจจะทำให้มีปัญหาในการต่อเติมตามมาได้ค่ะ ก่อนที่จะทำการต่อเติม เรามาดูกันก่อนว่าโดยปกติแล้วเราสามารถต่อเติมบ้านตรงไหนได้บ้าง ถ้าแบ่งตามที่คนนิยมทำกันจะมีอยู่ 4 ส่วนด้วยกันคือ

ต่อเติมหน้าบ้าน เพื่อทำหลังคากันสาด, หลังคาที่จอดรถ
ต่อเติมข้างบ้าน เพื่อทำเป็นห้องอเนกประสงค์
ต่อเติมหลังบ้าน เพื่อทำเป็นครัวไทย
ต่อเติม ปรับปรุงพื้นที่ภายในบ้าน เช่น กั้นห้องเพิ่ม, ทุบผนังห้องออก
โดยการต่อเติมแต่ละแบบนั้นจะมีปัจจัยให้คำนึงหลากหลาย เราจำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านเดิมที่เราอยู่ก่อนค่ะ ว่าคืออะไรจะได้ทำการต่อเติมได้ถูกต้องและไม่มีผลกระทบกับโครงสร้าง สำหรับการต่อเติมภายนอกบ้านจะมีเรื่องของกฎหมายมาประกอบด้วย ซึ่งจะมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลยค่ะ

ต่อเติมอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย
กฎหมายเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่ควรจะมองข้ามในการต่อเติมบ้าน หากเราทำการต่อเติมไปแล้วผิดกฎหมายก็จะเดือดร้อนต้องมาทุบทิ้งกัน หรืออาจจะเกิดการร้องเรียนขึ้นทำให้เป็นปัญหาใหญ่ตามมา ทำให้เราเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับการต่อเติมบ้านนั้นหลักๆแล้วก็จะมีเรื่องระยะต่างๆรอบตัวบ้าน

ระยะห่างระหว่างอาคาร
การต่อเติมอาคารชั้นเดียว หรืออาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร เช่นการต่อเติมพื้นที่ครัวด้านหลังบ้าน , ต่อเติมห้องด้านข้างรวมถึงลานจอดรถนั้น จะมีข้อกำหนดเรื่องระยะห่างของผนังและที่ดินบ้านข้างเคียง ดังนี้

- ผนังที่มีช่องเปิด ( เช่น หน้าต่าง, ช่องลมระบายอากาศ, ช่องแสง หรือบล็อคแก้ว) ควรมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร
- ผนังทึบ (ไม่มีช่องแสง) ควรมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร

สำหรับหมู่บ้านจัดสรรโดยทั่วไปแล้ว เราสามารถเจรจากับเพื่อนบ้านด้านข้างฝั่งที่เราต่อเติม ถ้าเพื่อนบ้านยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร เราก็สามารถสร้างชิดแนวเขตที่ดินได้ค่ะ

ระยะชายคา, กันสาด
การต่อเติมชายคา (ที่พื้นที่ด้านบนไม่สามารถขึ้นไปใช้งานได้) จะต้องเว้นระยะจากชายคา จนถึงแนวเขตที่ดิน ไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร เช่นเดียวกันกับการต่อเติมผนังทึบค่ะ

ระยะระเบียงชั้นบน
การต่อเติมระเบียงชั้นบน หรือหลังคาที่สามารถขึ้นไปใช้งานด้านบนได้ จะต้องเว้นระยะจากระเบียง จนถึงแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร เช่นเดียวกับการต่อเติมผนังที่มีช่องเปิดค่ะ

ระยะห่างจากถนนสาธารณะ
สำหรับใครที่อยากจะต่อเติมบ้านออกมาทางด้านหน้าจะเป็นห้องอเนกประสงค์หรือห้องอื่นๆก็ดี จะต้องคำนึงถึงกฎหมายดังนี้ อาคารพักอาศัยที่สูงไม่เกิน 3 ชั้น หรือสูงไม่เกิน 10 เมตร และพื้นที่รวมไม่เกิน 1,000 ตารางเมตร จะมีกฏหมายบังคับเกี่ยวกับแนวร่นอาคารจาก ทางสาธารณะ ดังนี้

- ถ้าถนนสาธารณะกว้างน้อยกว่า 6.00 เมตร ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลาง ถนนสาธารณะ อย่างน้อย 3.00 เมตร
- ถ้าถนนสาธารณะกว้างมากกว่าง 6.00 เมตร ริมแนวอาคารห่างจากถนนสาธารณะ
- อาคารสูงไม่เกิน 3 ชั้น, พื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร ร่นจากเขตถนนอย่างน้อย 0.50 เมตร
- อาคารสูงไม่เกิน 3 ชั้น, พื้นที่เกิน 300 ตารางเมตร ร่นจากเขตถนนอย่างน้อย 1.00 เมตร

ทำความรู้จักโครงสร้างภายนอกบ้าน
การต่อเติมพื้นที่ด้านนอกบ้านส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่เราควรคำนึงถึงก็คือโครงสร้างพื้นและเสาเข็มค่ะ โดยปกติแล้วบ้านจัดสรรมักจะทำการเทพื้นบริเวณที่จอดรถและลานซักล้างด้านหลังบ้านมาให้ ส่วนใหญ่เป็นการเทคอนกรีตเสริมเหล็กแบบบนดิน (Slab On Ground) หรือ บนคาน (Slab on Beam) ที่ลงเสาเข็มมาให้ด้วย ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีข้อดี–ข้อเสียแตกต่างกันไป

พื้นคอนกรีตวางบนดิน (Slab On Ground)
Slab On Ground  เป็นพื้นคอนกรีตหล่อบนพื้นดินหรือทรายบดอัด ไม่มีคานรองรับ มักใช้สำหรับพื้นชั้นล่าง ส่วนใหญ่มักใช้ทำพื้นของที่จอดรถ การถ่ายน้ำหนักของพื้นประเภทนี้จะถ่ายลงสู่พื้นดินโดยตรงโดยกระกระจายแรง ดังนั้นการบดอัดดินหรือทรายให้แน่นเป็นสิ่งสำคัญมาก หากไม่ทำให้ดินแน่นก่อนคอนกรีตอาจแตกจากการทรุดตัวได้ พื้นคอนกรีตวางบนดินนี้ ต้องอยู่อย่างอิสระจากโครงสร้างส่วนอื่น ๆ เพราะมีอัตราการทรุดตัวตามดินที่สูงค่ะ หากจำเป็นต้องมีส่วนที่ติดกันควรจะแยกรอยต่อ  โดยการคั่นด้วยแผ่นโฟม หรือออกแบบลดระดับพื้นบริเวณขอบพื้นโดยรอบ หรือจะวางหินกรวดตกแต่งอย่างที่บ้านจัดสรรนิยมทำให้เพื่อปกปิดรอยต่อก็ได้เช่นกันค่ะ

โดยโครงสร้างส่วนใหญ่ของลานจอดรถนั้นเป็นระบบคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) เป็นการเพิ่มความสามารถของคอนกรีตให้รับแรงได้มากขึ้นโดยใช้เหล็กเข้ามาช่วยนั่นเองค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กจะสามารถรับน้ำหนักได้ 200 – 400 กิโลกรัมต่อตารางเมตร  สำหรับลานจอดรถขนาดมาตรฐาน 1 คันนั้น จะมีขนาด 2.40 x 5.00 เมตร หรือประมาณ 12 ตารางเมตร รถเก๋ง 1 คัน จะมีน้ำหนักประมาณ 1,000 – 1,500 กิโลกรัม ต่อคัน , รถกระบะ 1 คัน น้ำหนักประมาณ 1,500 – 1,600 กิโลกรัม ต่อคัน ซึ่งเพียงพอต่อการใช้พื้นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กวางบนดิน

พื้นคอนกรีตวางบนคาน (Slab On Beam)
เป็นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กที่ถ่ายน้ำหนักลงสู่คานโดยตรง นิยมใช้ในบ้านและอาคารทั่วไป ลักษณะการถ่ายน้ำหนักของพื้นประเภทนี้มี 2 แบบนะคะ คือ

– พื้นทางเดียว (One Way Slab)

– พื้นสองทาง (Two Way Slab)

พื้นคอนกรีตวางบนคานอาจเป็นได้ทั้งพื้นคอนกรีตหล่อในที่หรือพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปก็ได้ค่ะ แต่สำหรับพื้นส่วนเปียกอย่างเช่น ห้องน้ำ พื้นระเบียงนอกบ้าน ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วซึม ควรใช้เป็นพื้นคอนกรีตหล่อในที่จะสามารถทนต่อความชื่นได้มากกว่าพื้นสำเร็จรูปค่ะ

โครงสร้างเสาเข็ม ( Pile )
ต่อมาสิ่งที่สำคัญสำหรับการต่อเติมบ้านก็คือเสาเข็ม โดยเสาเข็มเป็นโครงสร้างที่เสริมการรับน้ำหนักและป้องกันการทรุดตัว โดยมีหลักการคือช่วยเพิ่มแรงต้านน้ำหนักของตัวบ้านหรือพื้นที่ส่วนต่อเติม ไม่ให้ทรุดตัวลง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบและความลึกของเสาเข็มด้วยค่ะ ถ้าเสาเข็มนั้นสั้นไม่ถึงชั้นดินแข็งจะมีเพียงแรงเสียดทานระหว่างพื้นผิวเสาเข็มกับดิน (Skin Friction)  แต่ถ้าเสาเข็มนั้นลึกถึงชั้นดินแข็งก็จะมีแรงต้านที่ปลายเสาเข็ม (End Bearing) เพิ่มขึ้นค่ะ และอีกอย่างที่ควรคำนึงถึงนั่นก็คือความแข็งของชั้นดินในแต่ละพื้นที่ ถ้าบ้านใครมีที่ดินอยู่ใกล้กับน้ำ หรือดินพึ่งถมมาไม่นาน(ไม่เกิน 2 ปี) ดินจะไม่แน่นมากทำให้มีโอกาสทรุดตัวมากกว่า จึงจำเป็นต้องใช้เสาเข็มที่ลึกขึ้นค่ะ ดังนั้นเบื้องต้นเราจึงควรรู้ว่าบ้านของเราใช้เสาเข็มอะไร ถ้าเราซื้อบ้านจากโครงการแนะนำว่าให้ถามก่อนซื้อหรือตัดสินใจต่อเติม ถ้าเป็นบ้านที่สร้างเองก็ควรถามวิศวกรหรือผู้ออกแบบเอาไว้ เราจะได้มีข้อมูลสำหรับการต่อเติมในอนาคต

เสาเข็มเดิมของภายในบ้านทั่วไปที่นิยมใช้ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้

เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง (prestressed concrete pile)

เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงเป็นที่นิยมมากที่สุดในอาคารพักอาศัย เป็นเสาคอนกรีตที่ทำจากปูนซีเมนต์ชนิดแข็งตัวเร็วและโครงเหล็กภายในทำจากลวดเหล็กอัดแรงกำลังสูงค่ะ ใช้วิธีการตอกลงไปในดิน ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากและราคาไม่แพง  “แต่เวลาตอกจะเกิดแรงสั่นสะเทือน” แบ่งย่อยออกตามลักษณะรูปทรงหลากหลาย เช่น

เสาเข็มรูปตัวไอ (มักใช้เป็นโครงสร้างรับน้ำหนักตัวบ้าน)
เสาเข็มสี่เหลี่ยมตัน
เสาเข็มหกเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยมชนิดกลวง
เสาเข็มรูปตัวที
เสาเข็มเจาะ (bored pile)

เสาเข็มเจาะนั้นต้องใช้เครื่องมือเจาะลงบนที่ดินบนพื้นที่ใช้งานเลย จากนั้นจึงใส่เหล็กและเทคอนกรีตลงไปเพื่อหล่อเป็นเสาเข็ม จะมีกรรมวิธีก่อสร้างที่ยุ่งยาก และใช้เวลามากกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการรับน้ำหนักสูง “แต่จะไม่เกิดแรงสั่นสะเทือนเวลาติดตั้ง” และมีข้อจำกัดเรื่องขนาดกับความลึกน้อยกว่า รับน้ำหนักได้มากกว่า ส่วนราคานั้นจะแพงและมีขั้นตอนการติดตั้งยากกว่า

เสาเข็มเจาะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

เสาเข็มเจาะขนาดเล็ก( small diameter bored pile ) เส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ในช่วง 35-60 เซนติเมตร ความลึกอยู่ในช่วงประมาณ 18-23 เมตร กรรมวิธีที่ใช้ในการเจาะมักจะเป็นแบบแห้ง ( dry process )โดยใช้เครื่องมือขุดเจาะธรรมดา วิธีการไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เสาเข็มเจาะขนาดใหญ่( large diameter bored pile ) เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 60 เซนติเมตรขึ้นไป ความลึกอยู่ในช่วงประมาณ 25-65 เมตร กรรมวิธีที่ในการเจาะมักจะเป็นระบบเปียก ( wet process ) ซึ่งจะมีความยุ่งยาก และหน้างานเลอะเทอะมากกว่าค่ะ
เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง (prestressed concrete spun pile)

โดยทั่วไปแล้วจะเรียกกันว่าเสาเข็มสปัน ผลิตโดยการใช้ กรรมวิธีปั่นคอนกรีตในแบบหล่อซึ่งหมุนด้วยความเร็วสูงทำให้เนื้อคอนกรีตมีความหนาแน่นสูงกว่าคอนกรีตที่หล่อโดยวิธีธรรมดา มีลักษณะเป็นเสากลม ตรงกลางกลวง ฝังโครงลวดเหล็กอัดแรง การตอกเสาชนิดนี้สามารถทำได้หลายแบบ ทั้งวิธีการตอกด้วยปั้นจั่นแบบธรรมดาและแบบกด เนื่องจากตรงกลางกลวงช่วยลดแรงสั่นสะเทือนเวลาตอกได้ค่ะ ช่วยให้ไม่สะเทือนกระทบต่อโครงสร้างเดิมเท่าเสาเข็มอัดแรงธรรมดา




ติดต่อสอบถาม   



38
การต่อเติมบ้านให้ถูกกฎหมาย ต้องทำอย่างไร

การต่อเติมบ้านถือเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม โดยเฉพาะการต่อเติมหลังคาจอดรถด้านหน้าและพื้นที่ครัวด้านหลัง ซึ่งหากไม่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็อาจมีโทษถึงการจำคุกเลยทีเดียว เจ้าของบ้านจึงต้องศึกษาหลักการต่อเติมบ้านให้ถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง

การต่อเติมบ้านคืออะไร
ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร) มาตรา 4 ได้นิยามคำว่า “ดัดแปลง” ให้หมายถึงการเปลี่ยนแปลง ต่อเติม เพิ่ม ลด หรือขยายขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก หรือเนื้อที่โครงสร้างหรือส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ก่อสร้างไปแล้วให้เปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนการต่อเติมบ้านคือคำที่ใช้เรียกกันโดยทั่วไป ซึ่งมีความหมายเดียวกัน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการต่อเติมบ้าน
หัวใจสำคัญคือ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร
เนื่องจาก พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร คือกฎหมายที่ใช้ควบคุมการก่อสร้างและดัดแปลงอาคารให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความปลอดภัย มีการป้องกันอัคคีภัย และไม่รุกล้ำหรือรบกวนพื้นที่รอบข้าง การต่อเติมบ้านทุกหลังจึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้อย่างเคร่งครัด

ไม่สามารถต่อเติมบ้านจนเต็มที่ดินของตัวเอง
เจ้าของบ้านไม่สามารถต่อเติมบ้านจนเต็มมิดทั้งพื้นที่ หรือเต็มปิดทึบด้านหน้า ด้านข้าง และ/หรือด้านหลังได้ เนื่องจากมีกฎหมายเกี่ยวกับระยะร่นและที่เว้นว่างควบคุมอยู่ นั่นคือ เจ้าของบ้านต้องมีระยะเว้นพื้นที่ว่างระหว่างหน้าตัวบ้านกับเขตที่ดินของตัวเอง

ต่อเติมบ้านอย่างไรให้ถูกกฎหมาย

ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
ไม่ว่าจะต่อเติมบ้านชั้นเดียว หรือต่อเติมบ้าน 2 ชั้น หากครอบคลุมพื้นที่เกิน 5 ตารางเมตร หรือมีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน หรือมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการใช้วัสดุหรือขนาดที่ต่างไปจากเดิม หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้น้ำหนักบ้านเพิ่มขึ้น เจ้าของบ้านจะต้องทำเรื่องขออนุญาตกับเจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน จึงจะดำเนินการได้

ต้องมีสถาปนิกและวิศวกรควบคุม
ในการขออนุญาตต่อเติมบ้านกับเจ้าพนักงาน เจ้าของบ้านก็ต้องมีแบบแปลนที่ได้รับการรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบและวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้าง และในกรณีการเปลี่ยนแปลงวัสดุ เช่น การเปลี่ยนพื้นจากไม้เป็นกระเบื้อง ก็ต้องให้สถาปนิกหรือวิศวกรก่อสร้างช่วยคำนวณน้ำหนัก เพื่อสรุปว่าการต่อเติมบ้านจะเข้าข่ายต้องขออนุญาตก่อนหรือไม่

ต้องทำตามกฎหมายระยะร่นและที่เว้นว่าง
ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างหรือต่อเติมบ้าน ล้วนต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมายระยะร่นและที่เว้นว่าง ซึ่งสรุปได้ดังนี้

- ต้องมีระยะร่นระหว่างตัวอาคารกับจุดกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 3 เมตร
- ต้องมีที่เว้นว่างระหว่างตัวอาคารกับเขตที่ดินด้านหน้าอย่างน้อย 3 เมตร ด้านหลังและด้านข้างอย่างน้อย 2 เมตร
- ต้องมีขอบเขตอาคารไม่เกิน 70% ของที่ดิน โดยนับจากชั้นที่กว้างที่สุด

ทั้งนี้ระยะร่นและที่เว้นว่างดังกล่าวขึ้นอยู่กับความกว้างถนน ประเภทและความสูงอาคาร ยกตัวอย่างการต่อเติมทาวน์โฮมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พื้นที่หลังทาวน์โฮมจะต้องมีที่ว่างทุกหลัง และในกรณีการต่อเติมบ้านด้านข้าง หากผนังด้านนั้นมีประตูหรือหน้าต่าง ก็จะต่อเติมจนชิดรั้วบ้านไม่ได้

ต้องได้รับการยินยอมจากเพื่อนบ้าน
เพราะการต่อเติมบ้าน ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ดังนั้น เจ้าของบ้านจำเป็นต้องพูดคุยขอความยินยอมจากเพื่อนบ้านก่อนการต่อเติมด้วย และในบางกรณี เช่น การต่อเติมผนังทึบชิดรั้วบ้านด้านข้าง ก็ต้องมีหนังสือยินยอมจากเพื่อนบ้านเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อป้องกันความขัดแย้งกันในอนาคต

ถ้าไม่ต่อเติมบ้านให้ถูกกฎหมาย
หากการต่อเติมบ้านเข้าข่ายต้องขออนุญาต แต่ไม่ขออนุญาต หรือขออนุญาตแล้ว แต่ไม่ทำตามที่ขออนุญาต เจ้าของบ้านจะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่ถ้าเจ้าของบ้านถูกร้องเรียน และพบว่าต่อเติมบ้านแบบผิดกฎหมาย จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 30,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง



ติดต่อสอบถาม   



39
การต่อเติม-ทุบ ผนังภายในบ้าน
ใครที่ต้องการพื้นที่ภายในบ้านที่มากขึ้น หรือมีคนใช้งานภายในบ้านน้อยกว่าจำนวนห้องที่มี ก็มักจะอยากเชื่อมต่อห้องโดยการทุบผนังออก เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในให้มากขึ้น และในทางกลับกันสำหรับคนที่คิดว่าพื้นที่ภายในบ้านนั้นโล่งกว้างต้องการกั้นห้องเพื่อการใช้งานที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น ควรคำนึงถึงการต่อเติม, ดัดแปลงดังนี้ค่ะ

เจาะผนัง : ผนังที่สามารถทำการเจาะ หรือทุบออกได้ต้องเป็นผนังที่เกิดจากการก่อ , ผนังเบา หรือผนัง Precast ที่ไม่ใช่ผนังรับน้ำหนักและมีแบบตำแหน่งการเดินท่องานระบบชัดเจน เพื่อให้ทำการเจาะแล้วงานระบบไม่เสียหายค่ะ

ต่อเติมผนัง : หากต้องการต่อเติมผนังภายในบ้านสามารถต่อเติมได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของค่ะ ถ้าต้องการกั้นห้องชั่วคราว รื้อออกได้ไม่เสียหาย แนะนำเป็นผนังโครงเบาค่ะ แต่ถ้าต้องการกั้นห้องแบบถาวร ป้องกันเสียงได้ แนะนำให้กั้นเป็นผนังก่อ เป็นต้น โดยวัสดุที่นิยมใช้ในการต่อเติมผนังได้แก่การก่ออิฐฉาบปูนนั่นเอง

ผนังชนิดอื่นๆที่ไม่ใช่ก่ออิฐฉาบปูน
ผนังโครงเบา (Smart Board)

ผนังโครงเบาคือผนังที่มีโครงคร่าวติดกับแผ่นผนัง โครงคร่าวมีทั้งเป็นไม้แต่ที่นิยมใช้กันนั้นจะเป็นโครงคร่าวโลหะ (กัลวาไนซ์ , เหล็กรูปพรรณ) วัสดุแผ่นหนังเองก็มีให้เลือกใช้มากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ , ไม้อัดซีเมนต์, แผ่นยิปซั่ม หรือแผ่นไม้อัด ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป

ผนังโครงสร้างเบานั้นสามารถซ่อมแซม รื้อถอนได้ง่ายเนื่องจากมีน้ำหนักที่เบา แผ่นที่รื้อออกมาแล้วนำกลับไปใช้ใหม่ได้ และใช้เวลาในการติดตั้งน้อยค่ะ แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถใช้กับพื้นที่ที่มีน้ำขังได้ จึงไม่ควรใช้กับภายนอกด้วย ผนังโครงเบาเหมาะกับคนที่ต้องการต่อเติมกั้นห้องภายในบ้าน โดยไม่ต้องเลอะเทอะกับการผสมปูนก่ออิฐ

ผนังกระจก (Curtain wall)

เป็นผนังที่ยึดกับโครงสร้างของอาคาร โดยจะมีกรอบโครงเหล็กหรืออลูมิเนียม มีทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยจะใช้กระจกที่มีความหนาอย่างน้อย 6 มิลลิเมตร ควรใช้เป็นกระจกเทมเปอร์ที่แตกเป็นเม็ดข้าวโพดไม่แหลมคม ,กระจกเทมเปอร์ลามิเนตที่มีฟิล์มช่วยยึดกระจกไม่ให้ร่วงหล่นลงมา หรือกระจกฮีทสเตรงเท่น (Heat Strengthened glass หรือ H/S) ที่มีความแข็งแรงมากกว่ากระจกธรรมดา 2 เท่า ทั้งนี้ควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ เนื่องจากเป็นวัสดุที่เปราะบางและอาจเกิดอันตรายได้

ผนังกระจกจะมีความสามารถการกันเสียงน้อยกว่าผนังก่อ แผ่ความร้อนได้มากกว่า เนื่องจากมีคุณสมบัติโปร่งใส แต่การกั้นห้องด้วยผนังกระจกทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง และมีแสงผ่านได้มาก เหมาะกับห้องที่ต้องการกั้นต่อเติมโดยไม่ให้ความรู้สึกคับแคบ ไม่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว, เสียงรบกวนมากนัก


ติดต่อสอบถาม   



40
4 เรื่องต้องมีเมื่อต่อเติมบ้าน
 
1. มีใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
สำหรับการต่อเติมบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้าน 1 ชั้น 2 ชั้น หรือมากกว่านั้น หากดำเนินการในข้อต่างๆ ดังนี้ จะต้องมีใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน

การต่อเติมบ้านที่มีพื้นที่ครอบคลุมเกิน 5 เมตร
• การลด-เพิ่ม จำนวนเสา หรือคาน
• การต่อเติมที่มีความเปลี่ยนแปลงของวัสดุ ขนาด ที่แตกต่างไปจากของเดิม
• การต่อเติมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักบ้านที่เพิ่มมากขึ้นจากการคำนวนฐานรับน้ำหนัก

2. มีสถาปนิกและวิศวกรควบคุมการดำเนินการต่อเติม
การขออนุญาตต่อเติมบ้านที่ต้องยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าพนักงานท้องถิ่นนั้น ต้องมีรายละเอียดของแบบแปลนที่จะใช้ในการต่อเติมที่ได้รับการรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบ รวมถึงวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้าง

หากเป็นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของวัสดุก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพื้น หลังคา เสา จะต้องมีการคำนวนเรื่องการรับน้ำหนักของฐานจากสถาปนิกหรือวิศวกรที่รับหน้าที่ก่อสร้างด้วย

3. มีระยะร่นและการเว้นที่ว่างถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนของระยะร่นที่เจ้าของบ้านควรรู้ไว้นั้นจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนของการก่อสร้างหรือต่อเติมก็ตาม โดยระยะร่นที่ควรมีเป็นดังนี้คือ

• ระยะร่นระหว่างตัวอาคารกับจุดกึ่งกลางถนนต้องมีอย่างน้อย 3 เมตร
• เว้นที่ว่างระหว่างตัวอาคารกับเขตที่ดินด้านหน้าอย่างน้อย 3 เมตร ส่วนที่ว่างด้านหลัง และด้านข้างต้องเว้นไว้อย่างน้อย 2 เมตร
• มีขอบเขตของตัวบ้านไม่เกิน 70% ของที่ดิน ซึ่งจะนับจากชั้นที่มีพื้นที่กว้างสุด
• บ้านที่มีจำนวนชั้น 1 ชั้น หรือมีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ควรเว้นระยะห่างของช่องเปิด (หน้าต่าง ช่องลม ช่องแสง) ห่างจากแนวของเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 2 เมตร แต่ถ้าเป็นผนังทึบต้องเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร

4. มีความยินยอมจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง
การต่อเติมบ้านควรดำเนินการไปอย่างไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนบ้านใกล้เคียง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีผลกระทบบ้าง เช่น เสียงดัง กลิ่น หรือฝุ่น

ดังนั้นก่อนดำเนินการต่อเติมบ้านเจ้าของบ้านควรพูดคุยขอความยินยอมพร้อมแจ้งวันเวลาให้เพื่อนบ้านรับรู้ไว้ก่อน โดยเฉพาะการต่อเติมผนังทึบที่ชิดรั้วบ้านด้านข้างจะต้องมีหนังสือยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งภายหลัง


ติดต่อสอบถาม   



41
ประวัติ “พวงหรีด”… สัญลักษณ์แห่งความอาลัยในพิธีศพ
 
“พวงหรีด” ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอาลัยในงานศพมายาวนาน แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงประวัติพวงหรีดว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด เกิดขึ้นเมื่อใด เริ่มเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร และเหตุใดจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายกันมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน วันนี้เลอหรีดจะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติพวงหรีดให้ทุกคนฟังกันค่ะ
 
ต้นกำเนิดของพวงหรีด
ก่อนที่จะนำพวงหรีดมาใช้ในพิธีงานศพนั้น แท้จริงแล้วประวัติพวงหรีดมีต้นกำเนิดมาจากประเทศทางแถบทวีปยุโรปตอนใต้ในสมัยอารยธรรมอีทรัสคัน เมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตามประวัติพวงหรีดได้ปรากฏหลักฐานว่ามีการค้นพบมงกุฎทองสำหรับมอบให้แก่นักรบ เพื่อใช้เป็นเกียรติยศสำหรับนักรบเมื่อเวลาออกรบค่ะ โดยจะแกะสลักเป็นลายใบไม้กับดอกไม้และตกแต่งให้มีความสวยงาม พอเข้าสู่ในช่วงยุคโรมันโบราณก็จะมีการนำหรีดมาประดับศีรษะ เรียกว่า “Laurel Wreath” (ลอเรลหรีธ) ซึ่งมีลักษณะเป็นการนำใบไม้มาสานกัน ต่อมาเมื่อเข้าสู่ในช่วงศตวรรษที่ 16 – 19 ชาวคริสเตียนได้มีการนำกระดาษและริบบิ้นมาทำเป็นพวงหรีดกระดาษ โดยตัดและตกแต่งเป็นรูปใบไม้กับดอกไม้ เพื่อใช้สำหรับเฉลิมฉลองในงานเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (Advent) แต่ใช้ได้ไม่นานก็เปลี่ยนมาใช้ดอกไม้จริงแทน เนื่องจากมีความสวยงามมากกว่า ซึ่งพวงหรีดที่ว่านี้จะมีลักษณะเป็นทรงกลมประดับด้วยดอกไม้สดนานาชนิด คล้ายกับพวงหรีดดอกไม้สด แต่จะมีขนาดเล็กกว่าพวงหรีดที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เมื่อตกแต่งพวงหรีดเสร็จก็จะนำไปประดับหรือแขวนไว้ในโบสถ์อย่างสวยงามค่ะ และเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงตาม ไม่เว้นแม้แต่พวงหรีดที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หรือสิ่งที่ใช้แสดงความอาลัยต่อการจากไปของผู้ล่วงลับที่นำมามอบให้แก่ครอบครัวหรือญาติของผู้เสียชีวิตในงานศพมากขึ้นอย่างที่เห็นกันอยู่จนถึงปัจจุบัน
 
ประวัติพวงหรีดในประเทศไทย
กว่าที่พวงหรีดจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอาลัยยอดนิยมในประเทศไทยนั้น ตามประวัติพวงหรีดได้กล่าวไว้ว่าอารยธรรมของชาติตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทและแพร่หลายเป็นอย่างมากในยุคล่าอาณานิคม หรือในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้รับเอาอารยธรรมตะวันตกหลายอย่างเข้ามาในประเทศไทย ไม่เว้นแม้แต่พวงหรีดค่ะ โดยมีหลักฐานว่ามีการค้นพบภาพถ่ายของการนำดอกไม้นานาชนิดมาจัดแต่งเป็นวงกลม ลักษณะคล้ายกับพวงหรีดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2447 ในงานพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา หรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นั่นเองค่ะ ซึ่งในช่วงแรกนั้นพวงหรีดจะได้รับความนิยมเฉพาะในสังคมชนชั้นสูงเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็เริ่มมีการแพร่หลายในชนชั้นกลาง ไปจนถึงบุคคลทั่วไป โดยวัตถุประสงค์ของการมอบพวงหรีดนั้นก็เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและความอาลัยต่อผู้วายชนม์ และด้วยประวัติพวงหรีดที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้เองทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าในสมัยนั้นพวงหรีดได้ถูกนำเข้ามาใช้เป็นสื่อแทนความอาลัยในประเทศไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมาค่ะ
 
ความนิยมและการแพร่หลายของพวงหรีด
ตามประวัติพวงหรีดในประเทศไทยที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อข้างต้นนี้ทำให้เห็นว่าพวงหรีดได้เริ่มมีการนำมาใช้เฉพาะในงานศพของเจ้านายและชนชั้นสูง จนกระทั่งต่อมาก็ได้มีการแพร่หลายกันมากขึ้นในชนชั้นกลางไปจนถึงคนทั่วไปค่ะ ซึ่งพวงหรีดนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีสัจธรรมแห่งชีวิตที่เตือนใจมนุษย์ทุกคนอีกด้วยค่ะว่า เมื่อเวลาหมุนผ่านไป ดอกไม้สดที่เคยมีสีสันสวยงามก็เริ่มเปลี่ยนสี เหี่ยวเฉา และร่วงโรยไปตามกาลเวลา เปรียบได้กับชีวิตของมนุษย์เราที่ไม่ยั่งยืน ทุกคนต่างล้วนมีการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดานั่นเองค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นดอกไม้ประดับพวงหรีดยังสามารถสื่อแทนความหมาย อารมณ์และความรู้สึกถึงผู้ล่วงลับได้มากเลยทีเดียวค่ะ ทำให้พวงหรีดกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความอาลัยในงานศพที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าหากมีงานศพครั้งใดเป็นต้องมีพวงหรีดไว้สื่อแทนความอาลัยที่มีต่อผู้ล่วงลับทุกครั้งไปค่ะ โดยในทุกวันนี้พวงหรีดก็ได้มีพัฒนาการมากขึ้นจนมีประเภทพวงหรีดให้เลือกซื้ออย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวงหรีดดอกไม้สดที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน, พวงหรีดผ้า หรือจะเป็นพวงหรีดทางเลือกประเภทอื่น ๆ อย่างเช่น พวงหรีดพัดลม, พวงหรีดนาฬิกา และพวงหรีดต้นไม้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อหรือจะนำไปบริจาคก็ได้เช่นกันค่ะ นอกจากนั้นพวงหรีดแต่ละประเภทก็ยังมีโทนสีพวงหรีดต่าง ๆ ให้เลือกมากมายตามความเหมาะสมของผู้ล่วงลับอีกด้วยนะคะ
เมื่อทราบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติพวงหรีดว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด ตั้งแต่เมื่อไร และเหตุใดจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันล่ะก็หายสงสัยกันแล้วใช่มั้ยล่ะคะ ทีนี้หากมีงานศพครั้งใด อย่าลืมมาเลือกซื้อพวงหรีดที่ร้านเลอหรีดของเรานะคะ เพราะนอกจากจะมีพวงหรีดคุณภาพดีแล้วยังมีบริการจัดส่งฟรีถึงศาลาวัดอีกด้วยค่ะ

หรีด (อังกฤษ: wreath) เป็นดอกไม้ที่จัดแต่งขึ้นตามโครงรูปต่าง ๆ เช่น วงกลม วงรี มักมีใบไม้เป็นส่วนประกอบด้วย ใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ เช่น เคารพศพ ประดับตกแต่ง หรือทำเป็นมงคล (เครื่องสวมศีรษะ)

ต้นกำเนิด
หรีดทองใช้เป็นมงคล (เครื่องสวมศีรษะ) อายุราวกลางปีที่ 400 ก่อนคริสตกาล
พวงหรีดมีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยอารยธรรมอีทรัสคันในแถบทวีปยุโรปตอนใต้[1] จากการพบมงกุฎทองสำหรับนักรบเมื่อเวลาออกรบเพื่อเป็นเกียรติยศโดยแกะเป็นลายใบไม้และดอกไม้ อายุราว 400 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคโรมันโบราณมีการใช้หรีดมาประดับศีรษะ โดยเรียกว่า ลอเรลหรีธ (laurel wreath) โดยใช้ใบไม้สานกัน
ในประเทศไทย
อารยธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายอย่างมากในยุคล่าอาณานิคม หรือในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีการรับเอาอารยธรรมตะวันตกหลายอย่างเข้ามาในประเทศไทย โดยปรากฏหลักฐานภาพถ่ายการนำดอกไม้หลากหลายชนิดมาตกแต่งเป็นพวงกลมคล้ายพวงหรีดครั้งแรก ในพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา หรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 ในพ.ศ. 2447 ด้วยเหตุนี้เองทำให้คาดการณ์ได้ว่าพวงหรีดได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยและใช้เป็นสื่อแทนความโศกเศร้าตั้งแต่สมัยนั้น[2]
ชนิดของพวงหรีด
ในปัจจุบันพวงหรีดนอกจากพวงหรีดที่ทำมาจากดอกไม้สดแล้ว ยังมีพวงหรีดแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีกหลายชนิด เช่น พวงหรีดดอกไม้สด พวงหรีดดอกไม้แห้งหรือดอกไม้ประดิษฐ์ พวงหรีดผ้าชนิดต่าง ๆ พวงหรีดพัดลม พวงหรีดต้นไม้ (ส่วนมากนิยมเป็นต้นโมกเพราะเป็นต้นไม้มงคล) พวงหรีดนาฬิกา และพวงหรีดหนังสือ เป็นต้น โดยจุดประสงค์ของพวงหรีดชนิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเพราะ สมัยก่อนคนนิยมสั่งพวงหรีดดอกไม้สด โดยเฉพาะงานศพของผู้มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ก็มักจะได้พวงหรีดมาก บางครั้งก็เต็มจนล้นศาลาวัด ทำให้บางครั้งเป็นภาระของทางวัดที่ต้องเป็นผู้จัดการพวงหรีดที่ใช้แล้ว จึงมีคนเสนอให้มีการใช้พวงหรีดชนิดใหม่ ๆ เช่น พวงหรีดผ้า พวงหรีดพัดลม ซึ่งเมื่อใช้แล้วก็เหมือนเราบริจาคผ้าหรือพัดลมให้วัด ทางวัดก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป ไม่ต้องนำไปทิ้งเหมือนพวงหรีดดอกไม้สด หรือพวงหรีดที่เป็นต้นไม้ซึ่งโดยส่วนมากนิยมเป็นต้นโมก เพราะเป็นต้นไม้มงคล ทางวัดก็จะสามารถนำไปปลูกต่อไป ช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้
ปัจจุบัน ดอกไม้สด 10 ชนิดที่นิยมนำมาจัดพวงหรีด ได้แก่ ดอกมัม, ดอกสแตติส, ดอกเยอบีร่า, ดอกกล้วยไม้, ดอกลิลลี่, ดอกคาร์เนชั่น, ดอกไฮเดรนเยีย, ดอกกุหลาบ, ดอกหน้าวัว และ ดอกแคสเปีย[3]
การสั่งพวงหรีดในยุคปัจจุบัน
ในสมัยก่อนหากคนต้องการจะไปงานศพ ก็มักจะไปสั่งพวงหรีดเอาที่ร้านพวงหรีดซึ่งโดยมากตั้งอยู่ตามข้างวัด โดยเฉพาะวัดดัง ๆ ซึ่งมีจัดงานศพบ่อย เป็นประจำ แต่เนื่องจากในปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนไป บางคนต้องทำงานจนดึกกว่าจะเลิกงานก็ไปสั่งพวงหรีดไม่ทันเพราะต้องเจอปัญหารถติดหลังเลิกงาน หรือบางบริษัทก็ต้องส่งพวงหรีดไปงานศพของญาติลูกน้องแต่ไม่มีเวลาไปร้านพวงหรีดเนื่องจากไม่ได้ไปงานศพเองหรืองานศพจัดที่ต่างจังหวัด เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันมีการสั่งพวงหรีดออนไลน์เกิดขึ้น [4] ตามยุคสมัยที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและเจริญขึ้น ซึ่งก็ได้รับความนิยมและสามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างมาก

ติดต่อสอบถาม 



42
rtd90 จัดงานศพ / เนื้อหาของพวงหรีดคืออะไร
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2022, 09:10:11 AM »
หรีด (อังกฤษ: wreath) เป็นดอกไม้ที่จัดแต่งขึ้นตามโครงรูปต่าง ๆ เช่น วงกลม วงรี มักมีใบไม้เป็นส่วนประกอบด้วย ใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ เช่น เคารพศพ ประดับตกแต่ง หรือทำเป็นมงคล (เครื่องสวมศีรษะ)

ต้นกำเนิด
หรีดทองใช้เป็นมงคล (เครื่องสวมศีรษะ) อายุราวกลางปีที่ 400 ก่อนคริสตกาล
พวงหรีดมีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยอารยธรรมอีทรัสคันในแถบทวีปยุโรปตอนใต้[1] จากการพบมงกุฎทองสำหรับนักรบเมื่อเวลาออกรบเพื่อเป็นเกียรติยศโดยแกะเป็นลายใบไม้และดอกไม้ อายุราว 400 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคโรมันโบราณมีการใช้หรีดมาประดับศีรษะ โดยเรียกว่า ลอเรลหรีธ (laurel wreath) โดยใช้ใบไม้สานกัน
ในประเทศไทย
อารยธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายอย่างมากในยุคล่าอาณานิคม หรือในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีการรับเอาอารยธรรมตะวันตกหลายอย่างเข้ามาในประเทศไทย โดยปรากฏหลักฐานภาพถ่ายการนำดอกไม้หลากหลายชนิดมาตกแต่งเป็นพวงกลมคล้ายพวงหรีดครั้งแรก ในพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา หรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 ในพ.ศ. 2447 ด้วยเหตุนี้เองทำให้คาดการณ์ได้ว่าพวงหรีดได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยและใช้เป็นสื่อแทนความโศกเศร้าตั้งแต่สมัยนั้น[2]

ชนิดของพวงหรีด
ในปัจจุบันพวงหรีดนอกจากพวงหรีดที่ทำมาจากดอกไม้สดแล้ว ยังมีพวงหรีดแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีกหลายชนิด เช่น พวงหรีดดอกไม้สด พวงหรีดดอกไม้แห้งหรือดอกไม้ประดิษฐ์ พวงหรีดผ้าชนิดต่าง ๆ พวงหรีดพัดลม พวงหรีดต้นไม้ (ส่วนมากนิยมเป็นต้นโมกเพราะเป็นต้นไม้มงคล) พวงหรีดนาฬิกา และพวงหรีดหนังสือ เป็นต้น โดยจุดประสงค์ของพวงหรีดชนิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเพราะ สมัยก่อนคนนิยมสั่งพวงหรีดดอกไม้สด โดยเฉพาะงานศพของผู้มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ก็มักจะได้พวงหรีดมาก บางครั้งก็เต็มจนล้นศาลาวัด ทำให้บางครั้งเป็นภาระของทางวัดที่ต้องเป็นผู้จัดการพวงหรีดที่ใช้แล้ว จึงมีคนเสนอให้มีการใช้พวงหรีดชนิดใหม่ ๆ เช่น พวงหรีดผ้า พวงหรีดพัดลม ซึ่งเมื่อใช้แล้วก็เหมือนเราบริจาคผ้าหรือพัดลมให้วัด ทางวัดก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป ไม่ต้องนำไปทิ้งเหมือนพวงหรีดดอกไม้สด หรือพวงหรีดที่เป็นต้นไม้ซึ่งโดยส่วนมากนิยมเป็นต้นโมก เพราะเป็นต้นไม้มงคล ทางวัดก็จะสามารถนำไปปลูกต่อไป ช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้
ปัจจุบัน ดอกไม้สด 10 ชนิดที่นิยมนำมาจัดพวงหรีด ได้แก่ ดอกมัม, ดอกสแตติส, ดอกเยอบีร่า, ดอกกล้วยไม้, ดอกลิลลี่, ดอกคาร์เนชั่น, ดอกไฮเดรนเยีย, ดอกกุหลาบ, ดอกหน้าวัว และ ดอกแคสเปีย[3]

การสั่งพวงหรีดในยุคปัจจุบัน
ในสมัยก่อนหากคนต้องการจะไปงานศพ ก็มักจะไปสั่งพวงหรีดเอาที่ร้านพวงหรีดซึ่งโดยมากตั้งอยู่ตามข้างวัด โดยเฉพาะวัดดัง ๆ ซึ่งมีจัดงานศพบ่อย เป็นประจำ แต่เนื่องจากในปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนไป บางคนต้องทำงานจนดึกกว่าจะเลิกงานก็ไปสั่งพวงหรีดไม่ทันเพราะต้องเจอปัญหารถติดหลังเลิกงาน หรือบางบริษัทก็ต้องส่งพวงหรีดไปงานศพของญาติลูกน้องแต่ไม่มีเวลาไปร้านพวงหรีดเนื่องจากไม่ได้ไปงานศพเองหรืองานศพจัดที่ต่างจังหวัด เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันมีการสั่งพวงหรีดออนไลน์เกิดขึ้น [4] ตามยุคสมัยที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและเจริญขึ้น ซึ่งก็ได้รับความนิยมและสามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างมาก

จุดเริ่มต้นของพวงหรีด
พวงหรีดนั้นมีต้นกำเนินในแถบทวีปยุโรปตอนใต้ตั้งแต่สมัยอารยธรรมอีทรัส โดยเริ่มจากการค้นพบมงกุฎทองสำหรับสวมใส่ของนักรบเวลาออกรบเพื่อแสดงถึงเกียรติยศ โดยลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นลายใบไม้และดอกไม้ ต่อมาในยุคโรมันก็ได้มีการนำหรีดมาประดับบนศีรษะ ซึ่งถูกเรียกว่า ลอเรลฟรีธ (laurel wreath) เป็นการนำใบไม้มาสานกัน

พวงหรีดเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
สำหรับการเข้ามาของพวงหรีดในประเทศไทยนั้นเริ่มขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคที่อารยธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายเนื่องจากเป็นยุคล่าอาณานิคม แน่นอนว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ของเราได้เปิดรับอารยธรรมนี้เข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยหลักฐานที่ปรากฎให้ได้ทราบกันคือภาพถ่ายดอกไม้หลากหลายชนิดมาตกแต่งเป็นพวงกลมๆ คล้ายพวงหรีดในพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา หรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 เมื่อพ.ศ. 2447 นั่นเอง จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าพวงหรีดได้เข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว ซึ่งมีการเริ่มใช้พวงหรีดในงานศพของเหล่าชนชั้นสูง จากนั้นชนชั้นกลางและชนชั้นล่างก็เริ่มที่จะใช้พวงหรีดกันในงานศพเรื่อยมา

ความเชื่อเกี่ยวกับพวงหรีด
หากพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับพวงหรีดในประเทศไทยแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง การห้ามนำพวงหรีดเข้ามาในบ้านนั่นเอง เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยนั้นใช้พวงหรีดในการแสดงถึงความโศกเศร้าและมอบให้กับผู้ที่ล่วงลับเพื่อแสดงความเคารพ เพราะฉะนั้นผู้หลักผู้ใหญ่จึงมักจะถือกันว่าไม่ควรนำเข้าบ้านมา ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น

พวงหรีดชนิดต่างๆ
พวงหรีดที่เรามักจะเห็นกันนั้นจะเป็นพวงหรีดดอกไม้สดสีต่างๆ ที่ถูกจัดเรียงเป็นวงกลมอย่างสวยงามและถูกนำมาติดตั้งไว้ภายในและภายนอกของงานศพ หากแต่วัดนั้นไม่สามารถที่จะกำจัดพวงหรีดหลังจบงานให้หมดไปได้ บางวัดก็มีพวงหรีดล้นจนก่อให้เกิดปัญหา ทั้งนี้ร้านค้าพวงหรีดต่างๆ จึงเริ่มที่จะประยุกต์และผลิตพวงหรีดชนิดอื่นๆ นอกจากพวงหรีดดอกไม้กันนั่นเอง ตัวอย่างเช่น พวงหรีดผ้าแพร พวงหรีดนาฬิกา หรือที่นิยมกันในสมัยนี้มากขึ้นก็คือพวงหรีดพัดลมนั่นเอง

สำหรับพวงหรีดพัดลมนั้นเรียกได้ว่าเหมือนเป็นการทำบุญก็ว่าได้ เพราะนอกจากเราจะได้แสดงความเคารพต่อศพตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อจบงานทางวัดยังสามารถนำพัดลมไปใช้งานต่อได้อีกด้วย อย่างเช่นร้าน บุญมาพวงหรีดพัดลม ก็เป็นร้านพวงหรีดพัดลมที่นำพัดลมคุณภาพดีอย่างแบรนด์ฮาตาริมาประดับด้วยดอกไม้สวยงาม ซึ่งทางร้านจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมาทำประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย เรียกว่าเป็นร้านที่น่าสนใจร้านหนึ่งเลยทีเดียว

ติดต่อสอบถาม 



43
rtd90 จัดงานศพ / ทำไมงานศพถึงต้องใช้พวงหรีด
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2022, 09:09:07 AM »
ทำไมงานศพถึงต้องใช้พวงหรีด

ทำไมงานศพถึงต้องใช้พวงหรีด บางคนคงคิดว่าทำไม ? เพราะอะไร ? ทำไมต้องพวงหรีด ? พวงหรีดสำคัญอย่างไร ? ก็อาจจะเป็นคำถามของใครบางคนที่อาจสงสัยในเรื่องของพวงหรีด ร้านดอกไม้ ผกาฟลอริส  Pakaflorist ขอเสนอ พวงหรีดดอกไม้สด พวงหรีด พวงมาลา พวงมาลาดอกไม้สด พวงหรีดวงรี ที่มีความสวยงาม ดูดี และ พวงหรีดดอกไม้สด พวงหรีด พวงมาลา พวงมาลาดอกไม้สด หรูหราเหมาะสมแก่การไว้อาลัย เราออกแบบการจัด พวงหรีดดอกไม้สด พวงหรีด พวงมาลา พวงมาลาดอกไม้สด พวงหรีดวงรี ใหม่ ๆ ให้เข้ากับยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา เพราะการจัดดอกไม้คือศิลปะ คือการสื่อสารโดยการนำดอกไม้มาจัดให้สวยงาม รวมถึงการออกแบบการจัดวางดอกไม้ ทำให้เกิดเป็นการสื่อภาษาใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง วันนี้ร้านดอกไม้ผกาฟลอริสจะมาบอกเล่าให้ฟัง และอยากให้ทราบถึงคุณค่าของพวงหรีดจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ให้ ผู้รับ และผู้ส่งมีความรู้สึกประทับใจค่ะ

พวงหรีดคืออะไร ?
พวงหรีดคือสิ่งของที่ไม่ว่าจะทำด้วยดอกไม้สดหรือสิ่งของเครื่องใช้ เช่น พวงหรีดที่ทำขึ้นจาก ผ้า พัดลม ฯลฯ ที่ผู้ส่งมีความประสงค์ที่อยากจะส่งให้กับครอบครัวของผู้วายชนม์เพื่อแสดงความไว้อาลัย ความคิดถึง และแสดงความเคารพต่อผู้วายชนม์ พวงหรีดจึงเป็นที่นิยมส่งกันในศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์

ทำไมเราต้องส่งพวงหรีด
การที่เราส่งพวงหรีดดอกไม้สด หรือ พวงมาลานั้น เป็นการแสดงความไว้อาลัยและแสดงความเสียใจต่อคนที่จากไป นอกจากการไปร่วมพิธีการไว้อาลัยและพูดคุยแสดงความเสียใจ ทางร้านดอกไม้ผกาฟลอริส  Pakaflorist จึงมีจุดประสงค์และพันธมิตรในการช่วยและเชื่อมต่อผู้ที่ต้องการร่วมไว้อาลัยกับครอบครัวผู้วายชนม์ ในการแสดงความรู้สึกเสียใจและยังช่วยให้คนที่กำลังเสียใจรู้สึกลดลงได้ไม่มากก็น้อย

ความรู้สึกของผู้ส่งพวงหรีด
เพื่อน ๆ คงเคยส่งพวงหรีดดอกไม้สด พวงมาลา คงเข้าใจความรู้สึกที่เราได้แสดงความรู้สึกความอาลัยไปยังครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิต การที่เราได้ทราบข่าวของการสูญเสียของบุคคลที่เราเคารพรัก และเมื่อเราทราบข่าวเราก็ต้องส่งพวงหรีดดอกไม้สดหรือพวงมาลา เพื่อพวงหรีดดอกไม้สดหรือพวงมาลา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะได้มีโอกาสในการแสดงความรู้สึกไปยังครอบครัวของเขา

ความรู้สึกของผู้รับพวงหรีด
ความรู้สึกนี้คงเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง ในการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะครอบครัวไหนก็ตาม ถ้าใครเป็นคนนั้นคงไม่ทราบหรอกว่าพวงหรีดคืออะไร หรือไม่คิดว่าครอบครัวเราจะมีคนส่งพวงหรีดดอกไม้สดหรือพวงมาลา มาให้ จนได้รับพวงหรีดดอกไม้สด หรือ พวงมาลา จากคนรู้จักที่สนิท และ คนที่ห่างไกลกันที่เขายังนึกถึงเรา เมื่อพวงหรีดดอกไม้สดหรือพวงมาลา แขวนเรียงรายมากมายอยู่ในศาลาไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องรู้สึกตื้นตันแทนผู้วายชนม์ที่มีคนเคารพรักมากขนาดนี้ เป็นความรู้สึกยากที่จะอธิบายถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง
พวงหรีด พวงมาลา นั้นจึงมีความสำคัญต่อการแสดงความอาลัย  ทั้งในฐานะผู้ให้และฐานะผู้รับ วันนี้เราขออนุญาติมาแนะนำ พวงหรีดพวงมาลา พวงมาลาดอกไม้สด  ที่นิยมสั่งกันมากที่สุดมีแบบไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย
 
1. ชื่อพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด ศศิมาลัย 9
รหัสพวงหรีด : PKLW009
ประเภทพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด
ลักษณะพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สดเป็นแบบทรงรี พวงหรีดดอกไม้สด มีโทนสีที่ดูเป็นธรรมชาติคือสีขาว ดูอบอุ่น สวยงาม หรูหราขึ้นมาทันใด ทำให้พวงมาลาดูมีเอกลักษณ์และยังมีความโดดเด่นอีกด้วย  พวงหรีดดอกไม้สด  ยังเพิ่มความสดชื่นให้แก่ผู้ที่มองอีกด้วยพวงหรีดดอกไม้สดถ้าเจ้าภาพเห็นต้องปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พวงหรีดดอกไม้สดพวงนี้มองดูเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยใจที่อาลัยแด่ผู้ที่จากไป
ดอกไม้ที่ใช้จัดพวงหรีด : ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม , ดอกกุหลาบ , ดอกลิลลี่
 
2. ชื่อพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด พวงมาลา 12
รหัสพวงหรีด : PKSW012
ประเภทพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด
ลักษณะพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สดเป็นแบบทรงกลม พวงหรีดดอกไม้สด มีโทนสีที่ดูเป็นธรรมชาติคือสีขาว และสีม่วง ดูสวยงาม หรูหราขึ้นมาทันใด ทำให้พวงมาลาดูมีเอกลักษณ์และยังมีความโดดเด่นอีกด้วย  พวงหรีดดอกไม้สด ยังเพิ่มความสดชื่นให้แก่ผู้ที่มองอีกด้วยพวงหรีดดอกไม้สดถ้าเจ้าภาพเห็นต้องปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พวงหรีดดอกไม้สดพวงนี้มองดูเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยใจที่อาลัยแด่ผู้ที่จากไป
ดอกไม้ที่ใช้จัดพวงหรีด : ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม , ดอกกล้วยไม้
 
3. ชื่อพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด ศศิมาลัย 11
รหัสพวงหรีด : PKLW011
ประเภทพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด
ลักษณะพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สดเป็นแบบทรงรี พวงหรีดดอกไม้สด มีโทนสีที่ดูเป็นธรรมชาติคือสีชมพู ดูสดใส  สวยงาม แต่หรูหรา ทำให้พวงมาลาดูมีเอกลักษณ์และยังมีความโดดเด่นอีกด้วย  พวงหรีดดอกไม้สด  ยังเพิ่มความสดชื่นให้แก่ผู้ที่มองอีกด้วยพวงหรีดดอกไม้สดถ้าเจ้าภาพเห็นต้องปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พวงหรีดดอกไม้สดพวงนี้มองดูเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยใจที่อาลัยแด่ผู้ที่จากไป
ดอกไม้ที่ใช้จัดพวงหรีด : ดอกคาร์เนชั่น , ดอกกุหลาบ , ดอกเบญจมาศ , ดอกลิลลี่
 
4. ชื่อพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด พวงอัปสร 5
รหัสพวงหรีด : PKAS005
ประเภทพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด
ลักษณะพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สดเป็นแบบทรงกลม พวงหรีดดอกไม้สดแนววินเทจสีสันสดใส เหมือนนำสวนดอกไม้มาวางไว้ทั้งสวน และพวงหรีดดอกไม้สดยังมอบความสดชื่น สบายตาแก่ผู้ร่วมงานศพอีกด้วย ยังคลายความเศร้าได้ไม่มากก็น้อย พวงหรีดดอกไม้สดนี้จึงเหมาะที่สุด รับรองเจ้าภาพประทับใจสุด ๆ
ดอกไม้ที่ใช้จัดพวงหรีด : ดอกไลเซนทัส , ดอกลิลลี่ , ดอกคาร์เนชั่น , ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม
 
5. ชื่อพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด ศศิมาลัย 6
รหัสพวงหรีด : PKLW006
ประเภทพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด
ลักษณะพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สดเป็นแบบทรงรี พวงหรีดดอกไม้สด มีโทนสีที่ดูเป็นธรรมชาติคือสีขาว และสีชมพู ดูอบอุ่น สวยงาม หรูหราขึ้นมาทันใด ทำให้พวงมาลาดูมีเอกลักษณ์และยังมีความโดดเด่นอีกด้วย  พวงหรีดดอกไม้สด  ยังเพิ่มความสดชื่นให้แก่ผู้ที่มองอีกด้วยพวงหรีดดอกไม้สดถ้าเจ้าภาพเห็นต้องปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พวงหรีดดอกไม้สดพวงนี้มองดูเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยใจที่อาลัยแด่ผู้ที่จากไป
ดอกไม้ที่ใช้จัดพวงหรีด : ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม , ดอกกุหลาบ , ดอกไลเซนทัส

6. ชื่อพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด พวงอัปสร 3
รหัสพวงหรีด : PKAS003
ประเภทพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สด
ลักษณะพวงหรีด : พวงหรีดดอกไม้สดเป็นแบบทรงกลม พวงหรีดดอกไม้สดแนววินเทจสีสันสดใส เหมือนนำสวนดอกไม้มาวางไว้ทั้งสวน และยังมอบความสดชื่น สบายตาแก่ผู้ร่วมงานศพอีกด้วย ยังคลายความเศร้าได้ไม่มากก็น้อย พวงหรีดดอกไม้นี้จึงเหมาะที่สุด รับรองเจ้าภาพประทับใจสุด ๆ
ดอกไม้ที่ใช้จัดพวงหรีด : ดอกกล้วยไม้ , ดอกลิลลี่ , ดอกคาร์เนชั่น , ดอกเบญจมาศ หรือดอกมัม , ดอกเยอบีร่า
พวงมาลา พวงหรีดดอกไม้สด พวงมาลา พวงมาลาดอกไม้ ที่เราแนะนำจะมีการจัดเป็นรูปวงรี ซึ่งปัจจุบันนี้การจัดพวงหรีดดอกไม้ สามารถจัดได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า ที่จะนำไปแสดงความอาลัยให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยทางร้านของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดพวงหรีดดอกไม้สด พวงมาลา พวงมาลาดอกไม้สด จัดช่อดอกไม้ แจกันดอกไม้ กระเช้าดอกไม้ ด้วยช่างปักดอกไม้ที่มีฝีมือในปักพวงหรีดดอกไม้สด พวงมาลา พวงมาลาดอกไม้ ให้ออกมาสวยงามตามที่ลูกค้าต้องการ ช่อดอกไม้ แจกันดอกไม้ กระเช้าดอกไม้ มานาน เราสามารถจัดดอกไม้ จัดช่อดอกไม้ แจกันดอกไม้ และกระเช้าดอกไม้ได้หลากหลายสไตล์ ทุกรูปแบบที่คุณลูกค้าต้องการ พร้อมมีบริการจัดส่งดอกไม้จากร้านดอกไม้ปากคลองตลาดใหม่ให้กับคุณ

ติดต่อสอบถาม 



44
ทำไมต้องมอบพวงหรีดในงานศพ? ทำความรู้จักกับความหมายที่แท้จริงของพวงหรีด

เราต่างก็คุ้นเคยกับพวงหรีดที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้างานศพและภายในงานกันเป็นอย่างดีใช่ไหละคะ เพราะพวงหรีดคือหนึ่งในสิ่งของที่แขกเหรื่อ ญาติ เพื่อน หรือหน่วยงานนำไปมอบให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเพื่อไว้อาลัยในงานศพ แต่ความจริงแล้วทำไมเราจึงต้องมอบพวงหรีดในงานศพกันแน่? พวงหรีดมีความหมายอย่างไร? วันนี้  จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับความหมายที่แท้จริงของพวงหรีดกันค่ะ

ความหมายของการมอบพวงหรีด
การมอบพวงหรีดในงานศพ คือการแสดงออกถึงการไว้อาลัยและให้เกียรติผู้เสียชีวิต รวมถึงการแสดงถึงความรักและความคิดถึงต่อผู้ล่วงลับ เป็นการบอกกล่าวว่าช่วงที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นมิตรและมีจิตใจเอื้อเฟื้อ ทำให้เป็นที่ระลึกถึงไม่เสื่อมคลายถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม การมอบพวงหรีดจึงเปรียบเหมือนการแสดงความรักความคิดถึงและความคำนึงถึงสิ่งดี ๆ เหล่านั้น รวมถึงเป็นการมอบกำลังใจให้กับครอบครัวของผู้ตายด้วยเช่นกัน

พวงหรีดและความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย
ในอดีตเราอาจคุ้นเคยกับพวงหรีดในรูปของพวงหรีดดอกไม้สดและพวงหรีดผ้า แต่ปัจจุบันมีพวงหรีดรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นพวงหรีดพัดลม พวงหรีดนาฬิกา พวงหรีดต้นไม้ พวงหรีดจักรยาน หรือพวงหรีดนาฬิกา ไปจนถึงพวงหรีดที่นำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาประดับตกแต่งอย่างสวยงาม

พวงหรีดรูปแบบใหม่ ๆ เหล่านี้สะท้อนแนวคิดการใช้งานสิ่งของให้คุ้มค่าที่สุด หลังจากมอบพวงหรีดประดับงานศพแล้ว จบงานก็สามารถนำสิ่งของไปใช้งานได้ต่อไปหรือจะทำการถวายวัดก็ได้ เป็นการใช้เงินให้คุ้มค่า ไม่ต้องทิ้งของไปเฉย ๆ หลังจบงาน แต่ไม่ว่าจะเป็นพวงหรีดรูปแบบใดก็มีจุดประสงค์เดียวกันนั่นคือเพื่อส่งมอบความรักและอาลัยนั่นเองค่ะ
การส่งมอบพวงหรีดเป็นมากกว่าการมอบหรีดสำหรับประดับงานศพ เพราะในพวงหรีดยังแฝงไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ มากมายที่เรามอบให้ผู้ล่วงลับและครอบครัว อีกทั้งการมอบพวงหรีดยังเป็นการสร้างสีสันให้งานศพ ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกให้สดชื่นขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

7 เหตุผลเลือกพวงหรีดพัดลม
1.ได้มอบประโยชน์มากกว่าพวงหรีดชนิดอื่น
หากจะมองถึงประโยชน์ของพวงหรีดพัดลม ก็คงจะเห็นกันได้อย่างชัดเจนเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับพวงหรีดชนิดอื่น ๆ เพราะพวงหรีดพัดลมมีคุณค่าในตัวของพวงหรีดที่ไม่ใช่เพียงแค่ใช้สำหรับประดับและแสดงความเคารพ ไว้อาลัยในพิธีศพเพียงชั่วระยะเวลาที่มีงานศพเท่านั้น หลังจากที่หมดจากพิธีศพ พวงหรีดพัดลมก็นำมาใช้ประโยชน์เป็นพัดลม เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ว่าใครก็สามารถนำไปใช้ได้ เพียงแค่แกะเอาดอกไม้ประดิษฐ์และของตกแต่งที่ตกแต่งอยู่ที่หน้ากระจังพัดลมออกง่าย ๆ เท่านั้น ก็นำไปใช้ประโยชน์ให้ความเย็นสบายต่อได้ หลังงานแล้วทางเจ้าภาพ และญาติจะนำไปใช้อย่างไรก็ได้ตามแต่ใจ
2.ไม่ใช่ความงามที่ฉาบฉวยชั่วคราว
พวงหรีดดอกไม้ทั้งประดิษฐ์และดอกไม้สด ให้ความงามเพียงฉาบฉวยชั่วคราว การนำพวงหรีดดอกไม้ไปให้เมื่อถึงเวลาเลิกจากงานศพพวงหรีดของเราก็ถูกนำไปทิ้งอย่างไร้ค่า เป็นเพียงความงามฉาบฉวยประดับงานเท่านั้น หลังงานก็ไม่มีความหมายใด ๆ อีก แต่พวงหรีดพัดลมไม่ใช่ความงามฉาบฉวยแต่สามารถไปใช้ประโยชน์ต่อได้อย่างมีคุณค่าด้วย
3.ดูแลง่ายไม่ต้องห่วงเรื่องว่าจะเฉา
พวงหรีดพัดลมมีข้อดีเช่นเดียวกับพวงหรีดที่เป็นดอกไม้ประดิษฐ์และพวงหรีดผ้าขนหนู ผ้าห่ม ก็คือไม่ต้องดูแลมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะเฉาก่อนหมดงานพิธีศพในวันสุดท้าย ไม่ต้องมีคนมาคอยดูแลรดน้ำหรือชิ้นส่วนกลีบใบร่วงในบริเวณงานให้รกด้วย
4.ได้เป็นการทำบุญให้กับผู้เสียชีวิต
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพพวงหรีดพัดลมยังนำไปบริจาคให้กับผู้ที่ต้องการพัดลม เช่นโรงเรียนในชนบท สถานเลี้ยงเด็ก หน่วยงานราชการ ผู้ยากไร้ หรือแบ่งส่วนหนึ่งให้วัดไว้ใช้งาน นอกจากผู้มอบพวงหรีดไว้อาลัยได้บุญ ยังถือเป็นการทำบุญให้กับผู้ตายได้อีกทางหนึ่ง เป็นบุญและเป็นทานที่เป็นมงคล สร้างความสบาย ความเย็นปัดเป่าร้อน ปัดเป่าทุกข์ให้กับผู้คน ถือได้ว่าเป็นการทำบุญกุศลร่วมแก่ผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายได้เป็นอย่างดีทีเดียว
5.มีให้เลือกหลายระดับราคาและหลายแบบ
พวงหรีดแบบพัดลมใช่ว่าจะมีราคาสูงเสมอไป เพราะมีพวงหรีดพัดลมให้เลือกได้หลายระดับราคาและหลายแบบ เช่นพวงหรีดพัดลมแบบตั้งโต๊ะขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ พวงหรีดพัดลมแบบยืนที่ปรับระดับได้ หรือแบบปรับระดับไม่ได้ พวงหรีดพัดลมแบบแขวนผนัง ซึ่งด้วยความหลากหลายรูปแบบ หลายยี่ห้อผู้ซื้อก็เลือกซื้อได้ตามงบประมาณที่วางไว้ ดูราคาและสั่งซื้อพวงหรีดพัดลม
6.ติดตั้งและวางในงานได้ง่าย เคลื่อนย้ายง่าย
ข้อดีอีกข้อที่เห็นได้ชัดเจนและแตกต่างจากพวงหรีดทั่วไปในแบบอื่น ๆ ก็คือ พวงหรีดพัดลมสามารถนำมาวางประดับไว้จุดใดก็ได้ของงาน และจัดวางได้อย่างสะดวกสวยงาม เนื่องจากพวงหรีดพัดลมแบบต่าง ๆ ก็มีความสูงต่ำ มีขนาดต่างกัน ส่วนใหญ่ามารถวางตั้งที่พื้นหน้างานหรือบริเวณงานได้เลย ไม่ต้องหาที่แขวนหรือขาตั้งให้ยุ่งยากแบบพวงหรีดชนิดอื่น ๆ
7.มีความสวยงามไม่แตกต่างจากพวงหรีดทั่วไป่
สิ่งที่ผู้ซื้อพวงหรีดต้องการเป็นอันดับแรก ๆ ก็คือความสวยงามและดูดี เพราะจุดประสงค์หลักในการเลือกซื้อพวงหรีดเพื่อนำไปเคารพและแสดงความอาลัยแก่ผู้ตายก็คือ เพื่อให้เป็นการแสดงออกว่าเราได้มาแสดงความอาลัยและเคารพอย่างเห็นคุณค่า ยิ่งพวงหรีดสวยเท่าไหร่ก็จะเป็นการให้เกียรติและเห็นคุณค่าของงานและผู้ตายมากขึ้นเท่านั้น พวงหรีดพัดลมแม้ไม่ใช่พวงหรีดดอกไม้แบบเดิม ๆ แต่ในด้านของความสวยงามแล้วไม่แพ้กันเลย อีกทั้งยังมีให้เลือกทั้งสีสันและรูปแบบ รูปทรง ชนิดของดอกไม้ประดิษฐ์ที่นำมาประดับลงไป เลือกแบบตัวอักษรแสดงความอาลัย สีอักษรได้อย่างสวยงามไม่ต่างไปจากพวงหรีดดอกไม้อีกด้วย

ติดต่อสอบถาม 



45
เจาะลึกประวัติของพวงหรีด

เจาะลึกประวัติการกำเนิดของพวงหรีด โดย บุญมา พวงหรีด

เมื่อพูดถึงพวงหรีดแล้ว เราก็มักจะนึกถึงงานศพกันอย่างแน่นอน แต่เพื่อนๆ รู้กันหรือไม่ว่าที่จริงแล้วพวงหรีดนั้นมีหลายประเภทด้วยกัน อีกทั้งพวงหรีดยังไม่ได้กำเนิดที่ประเทศไทยอีกด้วย ว่าแล้วเราก็จะมาพาเพื่อนๆ มารู้จักกับพวงหรีดกันอย่างลึกซึ้งกันนะ

จุดเริ่มต้นของพวงหรีด
พวงหรีดนั้นมีต้นกำเนินในแถบทวีปยุโรปตอนใต้ตั้งแต่สมัยอารยธรรมอีทรัส โดยเริ่มจากการค้นพบมงกุฎทองสำหรับสวมใส่ของนักรบเวลาออกรบเพื่อแสดงถึงเกียรติยศ โดยลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นลายใบไม้และดอกไม้ ต่อมาในยุคโรมันก็ได้มีการนำหรีดมาประดับบนศีรษะ ซึ่งถูกเรียกว่า ลอเรลฟรีธ (laurel wreath) เป็นการนำใบไม้มาสานกัน

พวงหรีดเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
สำหรับการเข้ามาของพวงหรีดในประเทศไทยนั้นเริ่มขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคที่อารยธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายเนื่องจากเป็นยุคล่าอาณานิคม แน่นอนว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ของเราได้เปิดรับอารยธรรมนี้เข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยหลักฐานที่ปรากฎให้ได้ทราบกันคือภาพถ่ายดอกไม้หลากหลายชนิดมาตกแต่งเป็นพวงกลมๆ คล้ายพวงหรีดในพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา หรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 เมื่อพ.ศ. 2447 นั่นเอง จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าพวงหรีดได้เข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว ซึ่งมีการเริ่มใช้พวงหรีดในงานศพของเหล่าชนชั้นสูง จากนั้นชนชั้นกลางและชนชั้นล่างก็เริ่มที่จะใช้พวงหรีดกันในงานศพเรื่อยมา

ความเชื่อเกี่ยวกับพวงหรีด
หากพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับพวงหรีดในประเทศไทยแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง การห้ามนำพวงหรีดเข้ามาในบ้านนั่นเอง เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยนั้นใช้พวงหรีดในการแสดงถึงความโศกเศร้าและมอบให้กับผู้ที่ล่วงลับเพื่อแสดงความเคารพ เพราะฉะนั้นผู้หลักผู้ใหญ่จึงมักจะถือกันว่าไม่ควรนำเข้าบ้านมา ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น

พวงหรีดชนิดต่างๆ
พวงหรีดที่เรามักจะเห็นกันนั้นจะเป็นพวงหรีดดอกไม้สดสีต่างๆ ที่ถูกจัดเรียงเป็นวงกลมอย่างสวยงามและถูกนำมาติดตั้งไว้ภายในและภายนอกของงานศพ หากแต่วัดนั้นไม่สามารถที่จะกำจัดพวงหรีดหลังจบงานให้หมดไปได้ บางวัดก็มีพวงหรีดล้นจนก่อให้เกิดปัญหา ทั้งนี้ร้านค้าพวงหรีดต่างๆ จึงเริ่มที่จะประยุกต์และผลิตพวงหรีดชนิดอื่นๆ นอกจากพวงหรีดดอกไม้กันนั่นเอง ตัวอย่างเช่น พวงหรีดผ้าแพร พวงหรีดนาฬิกา หรือที่นิยมกันในสมัยนี้มากขึ้นก็คือพวงหรีดพัดลมนั่นเอง

สำหรับพวงหรีดพัดลมนั้นเรียกได้ว่าเหมือนเป็นการทำบุญก็ว่าได้ เพราะนอกจากเราจะได้แสดงความเคารพต่อศพตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อจบงานทางวัดยังสามารถนำพัดลมไปใช้งานต่อได้อีกด้วย อย่างเช่นร้าน บุญมาพวงหรีดพัดลม ก็เป็นร้านพวงหรีดพัดลมที่นำพัดลมคุณภาพดีอย่างแบรนด์ฮาตาริมาประดับด้วยดอกไม้สวยงาม ซึ่งทางร้านจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมาทำประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย เรียกว่าเป็นร้านที่น่าสนใจร้านหนึ่งเลยทีเดียว

เจาะลึกประวัติของพวงหรีด

เจาะลึกประวัติการกำเนิดของพวงหรีด โดย บุญมา พวงหรีด

เมื่อพูดถึงพวงหรีดแล้ว เราก็มักจะนึกถึงงานศพกันอย่างแน่นอน แต่เพื่อนๆ รู้กันหรือไม่ว่าที่จริงแล้วพวงหรีดนั้นมีหลายประเภทด้วยกัน อีกทั้งพวงหรีดยังไม่ได้กำเนิดที่ประเทศไทยอีกด้วย ว่าแล้วเราก็จะมาพาเพื่อนๆ มารู้จักกับพวงหรีดกันอย่างลึกซึ้งกันนะ

จุดเริ่มต้นของพวงหรีด
พวงหรีดนั้นมีต้นกำเนินในแถบทวีปยุโรปตอนใต้ตั้งแต่สมัยอารยธรรมอีทรัส โดยเริ่มจากการค้นพบมงกุฎทองสำหรับสวมใส่ของนักรบเวลาออกรบเพื่อแสดงถึงเกียรติยศ โดยลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นลายใบไม้และดอกไม้ ต่อมาในยุคโรมันก็ได้มีการนำหรีดมาประดับบนศีรษะ ซึ่งถูกเรียกว่า ลอเรลฟรีธ (laurel wreath) เป็นการนำใบไม้มาสานกัน

พวงหรีดเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
สำหรับการเข้ามาของพวงหรีดในประเทศไทยนั้นเริ่มขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเอง ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคที่อารยธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายเนื่องจากเป็นยุคล่าอาณานิคม แน่นอนว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ของเราได้เปิดรับอารยธรรมนี้เข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยหลักฐานที่ปรากฎให้ได้ทราบกันคือภาพถ่ายดอกไม้หลากหลายชนิดมาตกแต่งเป็นพวงกลมๆ คล้ายพวงหรีดในพระเมรุของสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา หรือ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 เมื่อพ.ศ. 2447 นั่นเอง จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าพวงหรีดได้เข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว ซึ่งมีการเริ่มใช้พวงหรีดในงานศพของเหล่าชนชั้นสูง จากนั้นชนชั้นกลางและชนชั้นล่างก็เริ่มที่จะใช้พวงหรีดกันในงานศพเรื่อยมา

ความเชื่อเกี่ยวกับพวงหรีด
หากพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับพวงหรีดในประเทศไทยแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง การห้ามนำพวงหรีดเข้ามาในบ้านนั่นเอง เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยนั้นใช้พวงหรีดในการแสดงถึงความโศกเศร้าและมอบให้กับผู้ที่ล่วงลับเพื่อแสดงความเคารพ เพราะฉะนั้นผู้หลักผู้ใหญ่จึงมักจะถือกันว่าไม่ควรนำเข้าบ้านมา ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น

พวงหรีดชนิดต่างๆ
พวงหรีดที่เรามักจะเห็นกันนั้นจะเป็นพวงหรีดดอกไม้สดสีต่างๆ ที่ถูกจัดเรียงเป็นวงกลมอย่างสวยงามและถูกนำมาติดตั้งไว้ภายในและภายนอกของงานศพ หากแต่วัดนั้นไม่สามารถที่จะกำจัดพวงหรีดหลังจบงานให้หมดไปได้ บางวัดก็มีพวงหรีดล้นจนก่อให้เกิดปัญหา ทั้งนี้ร้านค้าพวงหรีดต่างๆ จึงเริ่มที่จะประยุกต์และผลิตพวงหรีดชนิดอื่นๆ นอกจากพวงหรีดดอกไม้กันนั่นเอง ตัวอย่างเช่น พวงหรีดผ้าแพร พวงหรีดนาฬิกา หรือที่นิยมกันในสมัยนี้มากขึ้นก็คือพวงหรีดพัดลมนั่นเอง

สำหรับพวงหรีดพัดลมนั้นเรียกได้ว่าเหมือนเป็นการทำบุญก็ว่าได้ เพราะนอกจากเราจะได้แสดงความเคารพต่อศพตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อจบงานทางวัดยังสามารถนำพัดลมไปใช้งานต่อได้อีกด้วย อย่างเช่นร้าน บุญมาพวงหรีดพัดลม ก็เป็นร้านพวงหรีดพัดลมที่นำพัดลมคุณภาพดีอย่างแบรนด์ฮาตาริมาประดับด้วยดอกไม้สวยงาม ซึ่งทางร้านจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมาทำประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย เรียกว่าเป็นร้านที่น่าสนใจร้านหนึ่งเลยทีเดียว

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 73