สวัสดี

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 3 ระบบการฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำ  (อ่าน 3234 ครั้ง)

Admin
  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1088
    • ดูรายละเอียด
3 ระบบการฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำ
« เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2022, 11:06:53 AM »
    ระบบการฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ

          ถ้าคุณชอบที่จะใช้เวลาในวันหยุด หรือในช่วงเวลาว่างออกกำลังกายโดยการว่ายน้ำ  ในสระว่ายน้ำสีฟ้าสวยๆ  ที่มีน้ำที่ดูใสสะอาด น่าเล่น แล้วล่ะก็....... คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า  สระว่ายน้ำสีฟ้าที่ดูใสสะอาดเหล่านั้นมีการบำบัดและการฆ่าเชื้อโรคน้ำในสระว่ายน้ำ อย่างไร ? ดิฉันได้เกิดข้อสงสัยดังกล่าวจึงได้หาข้อมูล และเรียบเรียงมาฝากผู้ที่สนใจและเกิดข้อสงสัย คล้าย ๆ กัน โดยสรุปได้ดังนี้...ระบบการฆ่าเชื้อโรคน้ำในสระว่ายน้ำ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มี 3 ระบบ ได้แก่

          1.  ระบบคลอรีน  เป็นระบบฆ่าเชื้อโรคที่มีราคาถูก และนิยมใช้กันมากที่สุด คลอรีนที่ใช้อยู่ในรูปของเหลว เม็ด และผงคลอรีน โดยคลอรีนจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อน้ำมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH)  อยู่ระหว่าง 7.2 - 7.8   หากค่า pH สูงเกินไป (เป็นด่างมาก) จะต้องเติมกรดเกลือ (HCl : Hydrochloric acid)  ลงไปปรับสภาพน้ำก่อน  และถ้าน้ำในสระมีค่า pH ต่ำ (มีความเป็นกรดสูง)   จะต้องเติมสารที่เป็นด่างจำพวก Buffer หรือ Soda ash (Na2CO3 : Sodium Carbonate)เพื่อปรับค่า pH ในน้ำก่อน

              เนื่องจากสารคลอรีนอาจมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหนัง  ดังนั้นการละลายคลอรีนจึงควรทำในช่วงเย็นหลังจากที่ใช้สระเสร็จแล้ว  และต้องเปิดเครื่องกรองทิ้งไว้อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง

                   การปรับค่าคลอรีนในสระว่ายน้ำที่ให้บริการ  ให้ทำทุกวัน โดยมีค่าปริมาณคลอรีนอยู่ที่ 3 ppm ในฤดูร้อน เพราะอากาศร้อนคลอรีนจะสลายตัวเร็ว และ2 ppm ในฤดูฝน และฤดูหนาว       

                   ซุปเปอร์คลอรีน  คือ การเติมคลอรีน  2-3 เท่าจากปกติ  คือ ปรับค่าคลอรีนให้อยู่ที่ 4 ppm  โดยจะทำหลังจากวันที่มีคนลงเล่นน้ำจำนวนมาก   หรือมีตะไคร่ในสระ  หรือเพื่อทำลายแอมโมเนียและสิ่งเจือปนที่ได้สะสมไว้ในน้ำ  การทำซุปเปอร์คลอรีน สามารถทำได้ สัปดาห์ละ 1 – 2  ครั้ง

              2.  ระบบน้ำเกลือ เป็นระบบควบคุมความสะอาดของน้ำด้วยระบบเกลือ โดยใช้เครื่องผลิตคลอรีนอัตโนมัติจากเกลือ (Salt Water Chlorinator) ระบบนี้จะใช้เกลือธรรมชาติ (NaCl : Sodium Chloride) ในการฆ่าเชื้อโรคแทนคลอรีน โดยอาศัยวิธีทางไฟฟ้า ที่เรียกว่า Electrolysis  เกิดเป็นโซเดียมไฮโปคลอไรท์(NaOCl : Sodium Hypochlorite) และเกลือ NaCl กลับคืนมา

              น้ำเกลือเมื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคแล้วจะไม่สูญหายไปไหน จะเติมก็ต่อเมื่อมีการทำ Back Wash คือ ล้างเครื่องกรอง หรือฝนตกจนน้ำล้นออกจากสระว่ายน้ำ ดังนั้นการเติมเกลือจะเติมประมาณปีละ 2-3 ครั้ง และน้ำเกลือจะมีความเข้มข้นเพียง 0.3% เท่านั้นเอง (ประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำตาคนเรา)             

                   ข้อดีของระบบนี้ คือ ประหยัดค่าสารเคมี เนื่องจากราคาเกลือมีราคาถูกกว่าคลอรีน  ประหยัดค่าแรงงานในการดูแลรักษา เนื่องจากไม่ต้องเติมเกลือบ่อยเหมือนคลอรีน  การใช้งานง่าย สะดวก เพราะเป็นระบบอัตโนมัติ  และติดตั้งอุปกรณ์ง่าย สามารถใช้กับสระว่ายน้ำที่มีอยู่แล้วได้

                   ข้อจำกัด คือ  ราคาค่าอุปกรณ์มีราคาสูง  น้ำมีรสชาติกร่อย  และอาจต้องถ่ายน้ำทิ้งบ่อยถ้ามีความเข้มข้นของเกลือสูง

                   ปริมาณเกลือที่ใช้ในการเดินระบบในครั้งแรกนั้นจะใช้เกลือประมาณ 3 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ลบ.ม.ผู้ดูแลสระจะวัดค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำเกลือ และเติมเกลือ หรือกรดอย่างอ่อน เพื่อให้น้ำในสระมีค่า pH เป็นกลาง

              ๓.  ระบบโอโซน  เป็นระบบที่นำเอาก๊าซ โอโซน ซึ่งผลิตจากเครื่องอัดอากาศ มาบำบัดน้ำในสระ  มีประสิทธิภาพสูง สามารถฆ่าเชื้อโรคในระยะเวลาอันสั้นกว่าระบบอื่นและไม่มีสารเคมีทุกชนิดตกค้างในน้ำ

                   ระบบโอโซนเป็นระบบฆ่าเชื้อโรคที่มีศักยภาพสูงมาก เมื่อน้ำที่ผ่านโอโซนได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้ว น้ำที่สะอาดจะลงสู่สระว่ายน้ำ

                   ระบบนี้มีข้อเสียคือ  ขณะที่น้ำอยู่ในสระจะไม่มีการฆ่าเชื้อโรค จนกว่าน้ำจะกลับมาผ่านโอโซนอีกครั้ง  ดังนั้น เมื่อมีเชื้อโรคจากมนุษย์ หรือจากแหล่งต่างๆ ลงสู่สระว่ายน้ำในห้วงเวลาที่ยังไม่ได้ผ่านโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรคครั้งใหม่ ( ประมาณ 3-6 ชั่วโมง)  เชื้อนั้นจะยังคงปะปนอยู่ในสระว่ายน้ำ  ทำให้เกิดโรคติดต่อแก่ผู้

     เล่นน้ำในสระเดียวกันได้  ต่อเมื่อน้ำในสระได้กลับมาผ่านเครื่องฉีดโอโซนอีกครั้ง เชื้อโรคจึงจะถูกทำลาย  ดังนั้น ในบางประเทศจึงมีกฎหมายสำหรับสระว่ายน้ำสาธารณะ ห้ามใช้ระบบโอโซนอย่างเดียว ต้องใช้ควบคู่กับระบบอื่น ( เช่น ใช้คลอรีน หรือน้ำเกลือ ) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ

          จากการเปรียบเทียบ ระบบสระว่ายน้ำ ทั้ง 3 ระบบ ระบบบำบัดน้ำสระว่ายน้ำที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้ คือ ระบบน้ำเกลือ โดยประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีสระว่ายน้ำมากที่สุดในโลก ใช้ระบบเกลือมากกว่า 90 % ของสระว่ายน้ำทั้งหมด

         

ติดต่อสอบถาม