หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
สวัสดี
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ูthai-dd.com
General Category
rtd92 ซื้อสวนยางพารา
การจัดการผลพลอยได้ทางการเกษตร
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ผู้เขียน
หัวข้อ: การจัดการผลพลอยได้ทางการเกษตร (อ่าน 4100 ครั้ง)
Admin
Administrator
Hero Member
กระทู้: 1088
การจัดการผลพลอยได้ทางการเกษตร
«
เมื่อ:
กรกฎาคม 31, 2022, 05:18:46 PM »
[ur=https://line.me/R/ti/p/%40ndk9677fl]
การจัดการผลพลอยได้ทางการเกษตร
[/url]
การจัดการผลพลอยได้ - สิ่งเหลือทิ้งและสิ่งปฏิกูลทางการเกษตร
ความหมายของคำทั้งสองคำ
สิ่งเหลือทิ้ง หมายถึง วัตถุที่บุคคลผู้เป็นเจ้าของไม่ใช้ประโยชน์จากวัตถุนั้นอีกต่อไปในเวลาข้างหน้า เช่น ฟางข้าว ใบไม้ กิ่งไม้ กระดูกสัตว์ ฯ
สิ่งปฏิกูล หมายถึง วัตถุที่เป็นของเน่าเสียซึ่งส่วนมากจะเป็นสิ่งขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง และน้ำโสโครก ที่เกิดจากการชำระล้างต่างๆ
เหตุผลที่ใช้อธิบายถึงการจัดการ
1.เพราะปัจจุบันสังคมมนุษย์ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป จนทำให้ระบบนิเวศน์เสียสมดุลธรรมชาติ
2.เพราะเกิดมลภาวะกับสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง จนส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคน
3.เพราะต้องการลดความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์แบบไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนาและภูมิภาคบนโลกใบนี้
วิธีการที่นำมาใช้เพื่อการจัดการสิ่งเหลือทิ้งหรือสิ่งปฏิกูล
1.การ RECYCLE (reuse-repair-reform) เป็นวิธีการที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในยุคสมัยปัจจุบันนี้
หมายถึง การนำวัสดุที่ใช้แล้ว หรือ วัสดุเหลือใช้ หรือ วัสดุที่ต้องทิ้ง หรือสิ่งที่ต้องทำลายด้วยวิธีการต่างๆ มาแปรรูปหรือเปลี่ยนสภาพใหม่(reform) หรือนำมาซ่อมแซม(repair) แล้วนำกลับมาใช้(reuse)ประโยชน์อีก ในรูปแบบเดิมหรือรูปแบบใหม่ ก็ได้
กระบวนการของการ รีไซเคิล (RECYCLE) มี 4 ขั้นตอน
1. การเก็บรวบรวมวัสดุ/วัตถุทุกชนิด
2. แยกชนิด / ประเภทของวัสดุ วัตถุที่รวบรวมได้
3.นำวัสดุ/วัตถุ ไปผ่านกระบวนการต่างๆ/กรรมวิธีต่างๆ ตามลักษณะของสิ่งนั้น ๆเช่น หลอม กลั่น กรอง หมัก ระเหยน้ำ บีบอัด เผาไหม้
4.นำผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการต่างๆ ไปใช้ประโยชน์
ตัวอย่างของการ รีไซเคิล (RECYCLE)
1.การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass)
2.การผลิตกาซชีวภาพ (Biogas)จากมูลสัตว์และเศษอาหาร
3.การผลิตปุ๋ยหมักแห้ง(Compost)จากชิ้นส่วนของพืชไร่ที่เหลือทิ้ง
4.การผลิตปุ๋ยหมัก(น้ำ)ชีวภาพ (Biofertilizer) จากผลไม้และพืชผัก
5.การผลิตแผ่นไม้จากเศษไม้ชนิดต่างๆ
6.การผลิตแท่งเพาะชำต้นไม้จากขุยมะพร้าว
7.การใช้วัสดุเหลือใช้จากพืชมาทำงานประดิษฐ์ต่างๆ
ขั้นตอนโดยสังเขป
การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล
(Biomass)
ชีวมวล หมายถึง สารอินทรีย์ทุกชนิดที่ได้จากสิ่งมีชีวิต
1.เก็บรวมรวมชีวมวลชนิดต่างๆให้มีปริมาณที่มากพอสำหรับใช้
2.จัดซื้อ/จัดทำ เครื่องผลิตไฟฟ้า ที่มีขนาดเหมาะสมกับเชื้อเพลิง
3.ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับการเผาไหม้ให้ความร้อนกับน้ำ
4.นำไอน้ำที่ได้ไปหมุนไดนาโม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
ขั้นตอนโดยสังเขป การผลิตกาซชีวภาพ (Biogas)
กาซชีวภาพ หมายถึง กาซที่ได้จากการย่อยสลายสารอินทรีย์ทุกชนิดโดยจุลินทรีย์ในสภาพที่ไม่มีกาซออกซิเจน (anarobe) เช่น กาซมีเทน กาซคาร์บอนไดออกไซด์ การไนโตรเจน การไฮโดรเจนซัลไฟด์ บรรดากาซที่เกิดขึ้น กาซมีเทนซึ่งติดไฟได้ จะมีปริมาณมากที่สุด จึงนำมาใช้เป็นกาซหุงต้มได้
1.รวมรวมสารอินทรีย์ชนิดต่างๆที่ย่อยสลายได้ง่ายให้มีปริมาณที่มากพอสำหรับใช้
2.จัดซื้อ/จัดทำ ถังหมัก (ถังปฏิกรณ์)และถังเก็บกาซ (สำรองกาซก่อนการนำไปใช้)
3.หมักอินทรีย์สารที่เก็บรวบรวมได้ในถังหมัก
4.ได้กาซจากกระบวนการหมักนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการหุงต้ม / เป็นเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ในฟาร์ม
ขั้นตอนการผลิตปุ๋ยหมักแห้ง(Compost)จากชิ้นส่วนของพืชที่เหลือทิ้ง
การหมักธรรมชาติ
1.เก็บรวบรวมเศษซากพืชหรือวัสดุต่างๆที่ได้จากพืช นำมากองรวมกัน ให้มีปริมาณที่มากพอสมควร
2.รดน้ำให้กองวัสดุมีความชื้นที่พอเหมาะพอดี รอเวลาให้กองวัสดุย่อยสลายเองตามธรรมชาติจนแปรสภาพเป็นอินทรียวัตถุสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งเรียกว่า ฮิวมัส (Humus)
การหมักโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์เร่ง
1.กองเศษซากพืชเป็นชั้นแรกให้มีความหนาประมาณ 30-50 ซม.
2.ใช้มูลสัตว์หว่านให้กระจายทั่วพื้นที่ด้านบนของชั้นเศษซากพืช
3.ใช้สารละลายเชื้อจุลินทรีย์ (พด.ต่างๆ) รดให้ทั่วทั้งกอง
4.ใช้ดินปิดทับชั้นกองวัสดุชั้นแรก
5.กองวัสดุเป็นชั้นที่ 2-3-4 แล้วปฏิบัติในแต่ละชั้นตามข้อ 2,3,4 ในทุกชั้นที่กอง
6.คอยรดน้ำเพื่อให้กองปุ๋ยมีความชื้นอยู่เสมอ และพลิกกลับกองทุกๆ เดือน จนกว่าเศษซากพืชถูกย่อยสลายจนหมด จึงสามารถนำไปใช้ปรับปรุงดินหรือบำรุงต้นพืชได้
ขั้นตอนการผลิตปุ๋ยหมัก(น้ำ)ชีวภาพ (Biofertilizer) จากผลไม้และพืชผัก
1.นำผัก ผลไม้ต่างๆมาสับ ให้มีขนาดเล็กลง (ให้ได้น้ำหนักรวมตามที่ต้องการ)
2.นำผัก ผลไม้ที่สับแล้ว ใส่ลงในถุงตาข่าย แล้วใส่ไว้ในถังที่มีฝาปิดมิดชิด (ในอัตรา 10 ส่วน)
3.ใช้น้ำตาลทรายหรือกากน้ำตาล ละลายน้ำ (ในอัตราส่วน 1:3) ใส่ลงในถังหมัก ปิดฝาให้แน่นอย่าให้มีอากาศเข้าหรือออกจากถังหมักได้ (หมักทิ้งไว้ 2 เดือน) จะได้น้ำปุ๋ยหมักเข้มข้นนำไปใช้งาน
2.การนำวัสดุเหลือใช้/เหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ในงานเกษตร(reform)
หมายถึง การนำเอาสิ่งที่เหลือจากการเกษตรซึ่งโดยทั่วไปไม่มีราคาแล้วหรือมีราคาที่ค่อนข้างต่ำ นำมาใช้ในกิจกรรมการเกษตรที่เป็นงานผลิตอีกครั้ง โดยนำมาใช้ในรูปแบบเดิมหรือรูปแบบใหม่ก็ได้
กระบวนการของการ นำมาใช้ มี 3 ขั้นตอน
1.การเก็บรวบรวมวัสดุเหลือใช้/เหลือทิ้ง ให้มีปริมาณที่มากพอที่จะนำมาใช้งานได้
2.นำวัสดุเหล่านั้นไปผ่านกระบวนการอย่างง่ายๆ เช่น ตากแห้ง,ย่อย สับ, หมัก
3.นำวัสดุ/วัตถุ ไปใช้ตามกรรมวิธีและวัตถุประสงค์เฉพาะ
ตัวอย่างของการนำ
วัสดุทางการเกษตรมาใช้ในงานเกษตร
1.การนำฟางข้าว /ตอซัง/ต้นถั่ว/ต้นข้าวโพด/ใบไม้ผลชนิดต่าง ๆ มาทำปุ๋ยหมักแห้ง
2.การใช้เปลือกและต้นข้าวโพดฝักอ่อนมาเป็นอาหารเลี้ยงโคเนื้อ/โคนม
3.การใช้เปลือกสับปะรดมาหมักและใช้เป็นอาหารเลี้ยงโคขุน
4.การใช้ฟางข้าว /ตอซัง/เปลือกถั่วเขียว/ทะลายปาล์มนำมันมาเพาะเห็ดฟางกองเตี้ย/โรงเรือน
5.การใช้มูลสุกรมาเป็นอาหารเลี้ยงสุกรรุ่นและสุกรขุน
6.การใช้มูลสุกร/มูลไก่ เป็นอาหารของปลา
7.การนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้กับภาคอุตสาหกรรมบางชนิด (reform ; reuse)
3.หมายถึงการนำเอาวัสดุบางชนิดจากภาคเกษตรกรรมมาผ่านกระบวนการแปรรูปและขั้นตอนการปฏิบัติจนได้ผลลัพธ์ที่ดีตามวัตถุประสงค์
กระบวนการของการ นำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้กับภาคอุตสาหกรรม มี 3 ขั้นตอน
1.การเก็บรวบรวมวัสดุ/วัตถุที่ต้องการใช้ให้มีปริมาณที่มากและพอเพียงกับความต้องการใช้
2.นำวัสดุเหล่านั้นไปผ่านกระบวนการเบื้องต้นต่างๆ เช่น ตากแห้ง,ย่อย สับ, บด,ร่อน,เผา
3.นำวัสดุ/วัตถุ ไปใช้ตามกรรมวิธีและวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง
ตัวอย่างของการ นำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้กับภาคอุตสาหกรรม
1.การใช้เปลือกไข่และแกลบเผา บำบัดโลหะหนัก(ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม(Cd))ในน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมและเหมืองแร่
2.การผลิตวัสดุแทนไม้จากหญ้าแฝก ฟางข้าว เศษไม้ไผ่ ใบปาล์ม กากสมุนไพรต่างๆ
3.การจัดการสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลี้ยง/ขยะอินทรีย์/เศษอาหาร
4.หมายถึง การกำจัดสิ่งที่ก่อให้เกิดมลภาวะ(pollution)ทางดิน ทางอากาศและทางน้ำ รวมทั้งการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน (global warm)
กระบวนการนี้ต้องใช้ “จุลินทรีย์ประสิทธิภาพ”(Effective Micro-organism=EM)ซึ่งมีอยู่มากถึง 5 Family 10 Genus 80 Species เพื่อนำไปเปลี่ยนรูปสารอินทรีย์ต่างๆที่มีอยู่ในอินทรียวัตถุนานาชนิดให้เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
วิธีการใช้ EM.ส่วนมากจะใช้ในลักษณะของสารละลายเจือจางเพื่อการชำระล้างพื้นหรือการหมักในภาชะปิด
5.การใช้ประโยชน์จากผลพลอย
ได้ของการปลูกข้าวเพื่อใช้เป็นอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
5.1 การทำฟางปรุงแต่ง
ฟางข้าวเป็นอาหารหยาบที่มีคุณค่าทางอาหารต่ำ แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ได้ใช้ฟางข้าวกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยทั่วๆ ไปฟางข้าวจะมีโปรตีน 3-4 % โภชนะที่ย่อยได้ทั้งสิ้น 35-50 % มีไวตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแร่ธาตุอื่น ๆ ต่ำมาก
การใช้ฟางข้าวอย่างเดียวมีข้อเสียบางประการ เพราะปริมาณของโปรตีน พลังงาน และแร่ธาตุในระดับนี้ จะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพของสัตว์เคี้ยวเอื้อง ดังนั้นวัวควาย แพะ แกะ ที่กินแต่ฟางแห้งอย่างเดียวจะไม่สามารถเจริญเติบโต แต่จะสูญเสียน้ำหนักไปเรื่อย ๆ ถ้าเราจะใช้ประโยชน์จากฟางข้าวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เราจะต้องปรับปรุงคุณภาพและแก้ไขวิธีการให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยงดังกล่าว
การเพิ่มคุณค่าทางอาหารและการใช้ประโยชน์จากฟางข้าวสามารถทำได้ 2 วิธี ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
ก.การปฏิบัติต่างๆ (treatment) เพื่อปรับปรุงคุณภาพฟางข้าว เช่น การตัด การแช่น้ำ การลดปริมาณลิกนิน หรือการเตรียมให้เป็นฟางอัดก้อน ฟางอัดเม็ด เป็นต้น การตัดการบด การแช่น้ำและการอัดเม็ดอัดก้อนจะทำให้สัตว์กินฟางได้มากขึ้น และการย่อยได้ก็เพิ่มขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง เช่น การอัดเม็ดโดยใช้ฟาง 80 % ผสมกับกากเมล็ดฝ้าย 10 % กากน้ำตาล 6 % ไขมัน 2 % ยูเรีย 1 % แร่ธาตุอื่น ๆ 1 % จะได้อาหารอัดเม็ดที่มีคุณภาพดี ทำให้วัวตอนเจริญเติบโตดีและกินฟางอัดเม็ดนี้ได้ถึง 2.9 % ของน้ำหนักตัว ในขณะที่วัว ซึ่งกินฟางข้าวเพียง 2.4 % ของน้ำหนักตัว
ตามปกติสัตว์จะกินอาหารอัดเม็ดได้มากกว่าอาหารอัดก้อน (cube) และสัตว์กินอาหารอัดก้อนได้มากกว่าอาหารบดธรรมดา นอกจากนี้การเอาฟางมาอบด้วยความร้อนและความดันของไอน้ำที่ 28 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร เป็นเวลานาน 3 นาที จะทำให้การย่อยได้ของฟางเพิ่มขึ้นจากเดิมครึ่งเท่า แต่ถ้าใช้ฟางทำปฏิกริยากับด่างโซดาไฟ 3 % ภายใต้ความดันและไอน้ำร้อน จะทำให้การย่อยได้ของฟางเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่าตัว
การปรับปรุงคุณภาพของฟางข้าวอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้สารเคมีบางชนิดเพื่อลดปริมาณของลิกนิน และทำให้เซลล์ของพืชพองตัว จะทำให้การย่อยได้ของฟางเพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังผลให้สัตว์กินฟางที่ปรุงแต่งนี้มากด้วย สารเคมีที่นิยมใช้กันมากมี 3-4 ชนิด คือ โซดาไฟ (NaOH) ปูนขาว (calcium hydroxide=Ca(OH)2) และแอมโมเนียในรูปต่าง ๆ ถ้าเรานำฟางไปแช่ในสารละลายโซดาไฟ 1.5-2 % นาน 18-24 ชั่วโมง จะทำให้การกินการย่อยได้ของฟางเพิ่มขึ้นมากมาย หรือถ้าเราใช้สารละลายโซดาไฟที่เข้มข้น 3.5-5 % ฉีดพ่นบนฟางข้าวแล้วหมักทิ้งไว้สักครึ่งวันหรือจะนำไปให้สัตว์กินทันที พบว่าวัวรุ่นลูกผสมจะกินฟางปรุงแต่งได้มากขึ้นหนึ่งเท่าครึ่งของฟางธรรมดา และมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่าเกือบสองเท่า การแช่ฟางข้าวในสารละลายปูนขาว 1.5 % นาน 24-48 ชั่วโมง ก็มีผลทำให้ปริมาณการกินการย่อยของฟางข้าวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ในปัจจุบันนี้ได้มีผู้นิยมปรุงแต่งฟางข้าวโดยใช้สารยูเรีย เพราะเป็นสารที่หาได้ง่าย ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์ ดังนั้นเราจึงนิยมใช้ยูเรียประมาณ 6 % โดยกการใช้ผ้าพลาสติคปูบนพื้น แล้วนำฟางมาวางเรียงให้เป็นกอง ใช้น้ำจำนวน 3 ปีบ (60 ลิตร) รดกองฟาง น.น. 100 กก. ให้ทั่วโดยใช้บัวรดน้ำ ต่อมาเอายูเรีย 6 กก. ละลายในน้ำ 2 ปีบ (40 ลิตร) ใส่ในบัวรดน้ำแล้วราดบนฟางให้ชุ่ม หากทำกองใหญ่ใหห้ทำทีละ 100 กก. ปิดหุ้มกองฟางด้วยผ้าพลาสติคเก็บชายพลาสติคให้แน่นหาไม้หรือวัสดุกันแสงมาวางทับพอประมาณและหมักไว้นาน 21 วัน ในสูตรดังกล่าวอาจใช้ กากน้ำตาล 3-5 % และเกลือ 0.3 % เพื่อเพิ่มความน่ากิน พบว่าฟางหมักยูเรียจะมีโปรตีนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ปริมาณการกินการย่อยของฟางหมักจะเพิ่มขึ้น 8-15 % และสามารถรักษาน้ำหนักของวัวในช่วงสั้น ๆ ได้
ข. การให้อาหารเสริม (supplementation) เนื่องจากฟางข้าวมีคุณภาพต่ำ และแม้จะได้ปรุงแต่งโดยใช้โซดาไฟหรือยูเรียมาแล้วก็ตามเราไม่สามารถจะเลี้ยงสัตว์ด้วยฟางปรุงแต่งดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวเป็นเวลานาน ๆ เพราะการปรุงแต่งส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มปริมาณการกินและการย่อย และจะเพิ่มปริมาณของโปรตีนขึ้นเมื่อเราใส่แอมโมเนียหรือยูเรีย และ โปรตีนดังกล่าวก็ไม่ใช่โปรตีนที่แท้จริง แต่เป็นแหล่งของไนโตรเจนที่จุลินทรีย์ในกระเพาะจะเอาไปสร้างโปรตีนอีกทีหนึ่ง ดังนั้นในการใช้ประโยชน์จากฟางข้าวธรรมดาหรือฟางที่ปรุงแต่งแล้วก็ตาม เราควรจะได้พิจารณาให้อาหารเสริมแก่สัตว์ด้วย และอาหารเสริมดังกล่าวควรจะประกอบด้วยอาหารพลังงาน โปรตีน แร่ธาตุ และไวตามินที่จุลินทรีย์ในกระเพาะจะได้แบ่งไปใช้ส่วนหนึ่ง และตัวสัตว์เองจะได้นำเอาไปใช้อีกส่วนหนึ่ง อาหารเสริมที่ควรใช้ร่วมกับฟางข้าวธรรมดาหรือฟางปรุงแต่งมีดังต่อไปนี้
1.ฟางบวกกับอาหารข้นชนิดต่าง ๆ เช่น ปลาป่น กากถั่ว หางนมผง เนื้อป่น กากเมล็ดฝ้าย ยูเรียผสมกับกากเมล็ดฝ้าย รำ ปลายข้าว เป็นต้น
2.ฟางบวกกับรำและเกลือแร่ต่าง ๆ
3.ฟางบวกกับยูเรียและเกลือแร่ต่าง ๆ
4.ฟางบวกกับยูเรีย กากน้ำตาลและเกลือแร่ต่าง ๆ
5.ฟางหมักยูเรียบวกรำข้าว ใบมันสำปะหลังแห้งหรืออาหารข้นอื่น ๆ
6.ฟางบวกกับข้าวฟ่าง ยูเรีย กากน้ำตาล เกลือแร่ต่าง ๆ
7.ฟางบวกกับแหนแดง หรือผักตบชวา
8.ฟางบวกกับใบกระถิน
9.ฟางบวกกับไมยราพยักษ์หรือฝักจามจุรีและอื่น ๆ
10.ฟางบวกกับอาหารผสมมูลไก่แห้ง
การใช้ผลพลอยได้การเกษตรรูปแบบต่าง ๆ
5.2.หญ้าหมัก (Silage) คือการนำหญ้าหรือพืชต่าง ๆ มาสับเป็นท่อน ๆ นำไปหมัก ในหลุม หรือบังเกอร์ ปิดให้มิดชิด เป็นเวลา 21 วัน ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน (Anaerobic condition) แบคทีเรียชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจนอยู่ได้(Lactobacillus) แบคทีเรียจะใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรตในหญ้าและคาร์โบไฮเดรตในธัญพืชเสริม(silage preservative) แล้วแบคทีเรียจะผลิตกรดแลคติก(CH3CHOHCOOH) และกรดอะซีติค(CH3COOH)ออกมา ทำให้หญ้าไม่เน่า เมื่อพีเอ็ชได้ที่(ประมาณ 3.5-4) จุลินทรีย์ทุกชนิดแม้กระทั่ง Lactobacillus ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ทุกขบวนการจะหยุดทำงาน พืชที่ถูกหมักจะอยู่ในสภาพสด และสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปี โดยส่วนประกอบทางอาหารไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ปล่อยให้อากาศซึมเข้า
5.3.หญ้าแห้ง (Hay) คือการนำหญ้าชนิดต่าง ๆ ที่มีปริมาณน้ำในลำต้นต่ำ ตัดแล้วตากแดด 2-3 แดด ติดกัน เก็บไว้เลี้ยงสัตว์ในหน้าแล้ง
ติดต่อสอบถาม
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า: [
1
]
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
ูthai-dd.com
General Category
rtd92 ซื้อสวนยางพารา
การจัดการผลพลอยได้ทางการเกษตร