สวัสดี

ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เช็กยอดจัดไฟแนนซ์รถมือสอง ต้องคิดอย่างไร รู้เอาไว้ก่อนขอสินเชื่อ  (อ่าน 4085 ครั้ง)

Admin
  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1088
    • ดูรายละเอียด
เช็กยอดจัดไฟแนนซ์รถมือสอง ต้องคิดอย่างไร ? รู้เอาไว้ก่อนขอสินเชื่อ

ใครที่กำลังจะผ่อนรถมือสองต้องรู้ กับวิธีการหายอดจัดไฟแนนซ์รถมือสองด้วยตัวเอง จะได้เตรียมเงินไว้พอดี มีอะไรบ้างที่นำมาคำนวณ เงินที่เตรียมเอาไว้จะพอหรือเปล่า ?

ในตลาดรถมือสองมีการประกาศรถที่ใช้แล้วมากมายให้คนที่อยากได้รถราคาประหยัดได้เลือกซื้อ ซึ่งก็มีหลายเรตราคาที่แตกต่างกันออกไป โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาของรถมือสองเหล่านี้ไม่เท่ากันก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย โดยแต่ละปัจจัยนั้นก็มีผลต่อการคำนวณหาราคายอดจัดไฟแนนซ์ด้วย

ซึ่งในปัจจุบันในไฟแนนซ์หลาย ๆ ที่ก็จะมีการระบบการช่วยคำนวณให้แล้ว เป็นวิธีแบบคร่าว ๆ เพื่อให้ผู้ที่ซื้อรถได้รู้จำนวนเงินที่ต้องเตรียมไว้สำหรับการออกรถ แต่รู้หรือไม่ว่าการหายอดจัดในรถแต่ละคันนั้นต้องขึ้นอยู่กับอะไรบ้างที่ไฟแนนซ์นำมาใช้ในการคำนวณ Chobrod รวบรวมมาไว้ให้แล้ว มาลองดูกันว่าการเลือกซื้อรถมือสองมีวิธีการหายอดจัดไฟแนนซ์อย่างไร

ยอดจัดไฟแนนซ์ คืออะไร ?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับยอดจัดเสียก่อน ว่ายอดจัดไฟแนนซ์รถมือสอง คืออะไร? ยอดจัดไฟแนนซ์ คือจำนวนวงเงินที่ทางไฟแนนซ์จะอนุมัติให้แก่ผู้ขอสินเชื่อ โดยคำนวณจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ซึ่งอาจจะอนุมัติให้ได้เต็มจำนวนของราคารถหรือไม่เต็มก็ได้ หรืออธิบายสั้น ๆ คือเงินที่ทางไฟแนนซ์ให้กู้ นอกเหนือจากเงินดาวน์นั่นเอง (ยอดจัดยังไม่รวมภาษี)

ยอดจัดไฟแนนซ์รถมือสองยกตัวอย่างเช่น ต้องการซื้อรถมือสองราคา 200,000 บาท ทำการวางเงินดาวน์ไป 10% คือ 20,000 หมื่นบาท ยอดจัดไฟแนนซ์รถมือสองก็เป็น 180,000 บาทที่ทางไฟแนนซ์จะให้แก่ผู้ขอสินเชื่อนั่นเอง แต่ใช่ว่าไฟแนนซ์จะให้วงเงินนอกเหนือจากยอดดาวน์ได้เต็มจำนวน ยังมีอีกหลายกรณีที่จะเกิดขึ้นได้ดังนี้

- ไฟแนนซ์อนุมัติวงเงินให้เต็มยอดจัดรถมือสอง คือ 180,000 บาท
- ไฟแนนซ์อนุมัติวงเงินได้ไม่เต็มยอดจัด เช่น ให้ได้แค่ 150,000 บาท ผู้ขอสินเชื่อจึงอาจต้องเพิ่มเงินดาวน์ส่วนนี้
- ไฟแนนซ์อนุมัติวงเงินได้เกินยอดที่จัด เช่น ให้เต็มราคารถ 200,000 บาท กรณีนี้ผู้ซื้อรถจึงไม่จำเป็นต้องวางเงินดาวน์ หรือไฟแนนซ์ให้เกินราคาเต็มรถ เช่น 220,000 บาท ผู้ขอสินเชื่อก็สามารถนำเงินที่เกินมาใช้เปล่าได้ด้วย

ซึ่งกรณีทั้งสามนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้มีผลต่อการพิจารณาวงเงิน มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่นำมาใช้ในการหายอดจัดรถมือสอง และเพราะอะไรถึงต้องนำปัจจัยเหล่านี้มาใช้ในการคำนวณ

ยี่ห้อรถยนต์
เริ่มจากสิ่งแรกที่ใช้พิจารณานั่นก็คือยี่ห้อขอรถยนต์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากที่มีผลต่อวงเงิน ถ้าเป็นรถยอดนิยมอย่างเช่นรถจากค่ายญี่ปุ่นบ้านเรา Toyota, Honda หรือ Mazda เป็นต้น จะมีโอกาสที่ทางไฟแนนซ์จะจัดยอดให้ได้วงเงินที่ดี

เพราะรถเหล่านี้ขายออกง่ายและมีราคาเป็นมาตรฐาน เช่นเดียวกันถ้าเป็นรถที่ไม่ค่อยติดตลาด แบรนด์ไม่ค่อยได้รับความนิยม อาจจะได้ยอดที่ต่ำกว่าที่ขอเพราะอาจจะมีเรตราคาที่ลดหลั่นไม่เป็นมาตรฐาน มีความเสี่ยงสูง ทำให้กำหนดยอดได้ยากนั่นเอง

รุ่นย่อยและโฉมของรถยนต์
แม้จะเป็นยี่ห้อรถติดตลาด แต่ถ้าเป็นรุ่นรถที่คนไม่ค่อยนิยมหรือเป็นรถนอกกระแสหายากก็จะมีผลต่อวงเงินด้วย หรือหากเป็นรถที่มีรุ่นย่อยเดียวกันก็มีความแตกต่างของราคาได้เช่นกันหากรถคันนั้นเป็นคนละโฉมอาจเป็นคันที่มีการไมเนอร์เชนจ์ซึ่งจะให้ออปชั่นที่มากกว่า ทำให้อาจจมีราคาสูงกว่า โดยสามารถดูรุ่นย่อยได้ที่เล่มทะเบียนรถ หรือพิจารณาจากส่วนประกอบของรถที่มีการปรับเปลี่ยนเช่น ไฟหน้า กระจังหน้า เป็นต้น

ปีืที่จดทะเบียนของรถ
รถที่มีอายุการใช้งานอยู่ในช่วงไม่ตกรุ่นก็จะได้ราคาที่ดีและดอกเบี้ยที่ประหยัดกว่า เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่ารุ่นเก่า โดยดูวันที่จดทะเบียนของรถเป็นหลักจากเล่มทะเบียน เพื่อพิจารณาหาค่าเสื่อมและคำนวณยอดที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งทริคที่แนะนำสำหรับผู้ที่อยากซื้อรถมือสองผ่านไฟแนนซ์ หากอยากได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าลองดูรถที่ยังไม่เก่ามากนักเอาไว้จะดีกว่า

ระบบเกียร์
ระบบเกียร์ของรถก็มีผลต่อการจัดราคา ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาก็จะได้ยอดจัดที่น้อยกว่าของเกียร์อัตโนมัติ เหมือนรถใหม่ทั่วไปที่จะมีการตั้งราคาของรถเกียร์อัตโนมัติไว้สูงกว่าเกียร์ธรรมดา การคิดยอดจัดเช่นเดียวกัน เป็นการลดหลั่นไปตามสัดส่วนของราคาตั้งต้นของรถมือสองที่แตกต่างกันไป ถ้ามีเวลาก็ลองใช้เวลาหารถสักนิด บางทีคุณเองอาจจะโชคดีเจอรถเกียร์อัตโนมัติที่ตั้งราคาไว้ถูกกว่าเกียร์ธรรมดาก็ได้

สภาพของรถ
ข้อนี้สำคัญ หากรถที่เลือกซื้อเป็นรถตลาดรุ่นใหม่ โฉมพิเศษ มีเกียร์อัตโนมัติแต่กลับมาสภาพยับเยินที่เหมือนผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างหนักหน่วง รถก็จะถูกตีให้ราคาต่ำกว่าที่ควรจะได้ กลับกันหากเป็นรถรุ่นเก่า แต่มีการดูแลใช้งานที่ดี มีสภาพสมบูรณ์ทั้งภายนอก ภายใน ทั้งตัวเครื่อง ก็อาจจะตีราคาได้เต็มจำนวนก็ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพของรถว่าเป็นแบบไหน

เพราะไฟแนนซ์เองก็จะประเมินความเสี่ยง ค่าเสื่อมของรถเอาไว้อยู่แล้วเช่นกันนั่นเอง สำหรับผู้ซื้อเองก่อนจะตัดสินใจเลือกรถสักคันก็ควรตรวจสอบให้รอบคอบด้วยเพื่อผลประโยชน์ของคุณเอง อย่ามองแค่ว่าเป็นรถรุ่นใหม่ยอดนิยม แต่ภายในเละกว่าที่คิดก็ไม่ควรจะเสี่ยงไปซื้อเหมือนกัน


ติดต่อปรึกษาเรา